Tuesday, November 20, 2007

ปีที่สองของการครองเรือน

เมื่อวานนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของเราสองคน (โอ๋กับพี่เบค?) ชีวิตในปีที่ผ่านมาก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่ ๆ มากเท่าไร อ้อ มีสิ ก็น้องอุ๊บส์ในท้องนี่ไง เข้ามาอยู่ในท้องได้แปดเดือนกว่าแล้ว ก็เปลี่ยนอะไรให้ชีวิตเราสองคนไปเยอะเหมือนกัน ได้เห็นว่าจิมดูแลเราได้ดีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามองในมุมของคนที่ดูแลใครไม่เป็นและไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ก็นับว่าเค้าก็โอเค ไม่แบ๊ด แต่ถ้ามองในมุมที่คาดหวังว่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ถือว่าคุณเค้าสอบตกน่ะ เหะ เหะ อยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน แต่ผ่านมาถึงวันนี้ได้ ก็คงพอจะดูออกนะคะ ว่าโอ๋เลือกที่จะมองอย่างไร (อันนี้อิชั้นสอบผ่าน มั้ง เพราะเลือกตรงกลาง มีทั้งมุมที่ประทับใจในการดูแลของเค้า และก็มุมบ่น ๆ บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าแบ๊ด)

สำหรับตัวเอง ตั้งกะมีน้องคิวท์มาอยู่ในท้อง แอบคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นนิดหน่อย คิดถึงอนาคตมากขึ้น นึกถึงอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองมากขึ้น และที่สำคัญ ขยันเยี่ยงทาส ไม่รู้น้องคิวท์มีฮอร์โมนอะไรทำให้แม่ขยันได้ขนาดนี้ ทำโน่นทำนี่เยอะแยะมากมาย ถึงแม้ตอนนี้ใกล้จะคลอดเต็มที อิชั้นก็ยังเดิน ยังทำโน่นทำนี่แบบสู้ตาย (บางคนบอก ขยันแบบนี้ ได้ผู้ชายแน่เลยเทอ) เออ เอาเหอะ ไซโคกันเข้าไป จะเป็นเพศไหนอิชั้นไม่สนแล้ว ขอให้น้องออกมาแข็งแรงสมบูรณ์ ครบสามสิบสอง และเลี้ยงง่ายเป็นพอ

บ่นนู่นบ่นนี่ซะยืดยาว มาเข้าเรื่องวันครอบรอบแต่งงานปีที่สองกันมั่งดีกั่ว (อุ๊บส์ หลุดสำเนียงฮิบบรู) จริง ๆ เราคิดว่าจิมต้องลืมแน่ ๆ เลย แต่เค้ากลับเป็นคนโทรมา happy anniversary เราก่อน (จริง ๆ คงลืมแหละ ไม่งั้นตอนเช้าคงสวีทกว่านี้ อิอิ)คือ ก่อนจิมจะไปทำงาน เราก็นึกว่าเอ๊ วันนี้มันวันที่ 18 นี่นา ยังไม่ใช่วันครบรอบ ก็เลยนอนอุตุ เค้ามากอดหอม ลาไปทำงาน ก็แค่กอดตอบ ไม่ได้พูดอะไร แต่สาย ๆ หน่อย เค้าโทรกลับมาบอก happy anniversary honey เราก็ไร ๆ เมาเป่า วันนี้วันที่ 18 เฟร้ย เค้าก็บอก ฮันนี่ วันนี้วันที่ 19 เราเลยคลิกดูวันที่ตรงคอมฯ :O แว๊กส์ 19 จริง ๆ ด้วย ตาย ๆ เรานี่ทำไมเป็นแบบนี้ จิมก็ขำ แล้วก็คุยกันว่าจะไปกินไรดี จะยังไง เราก็บอกอะไรก็ได้ แต่ขอเป็นส่วนตัวได้มั้ย เค้าก็บอกเด๋วจะให้น้องสาวมาเบบี้ซิทเจ้าคิมให้ เราก็โอเค

จากนั้น อิชั้นก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เรานัดกับพี่คนไทยไว้ว่าจะไปทำอะไรกินกันที่บ้านพี่เค้านี่หน่า เลยโทรไปแคนเซิลเค้า ขอโทษขอโพยไปว่าตอนรับนัดคือไม่ได้ดูวันที่เลย เค้าก็ไม่เป็นไร จากนั้นอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะเตรียมออกไปซื้อของหน่อย แต่ก่อนไปก็มาออนไลน์ เจอเพื่อนปู คุยกันนิดหน่อย ยังบอกปูเลยว่า ถ้ารอซื้อหลังแต๊งสกีฟวิ่งได้คงดี ของน่าจะถูกลง ปูบอก โหย ขนาดนั้นเลยเหรอเทอ อิอิ

คุยแป๊บเดียวก็ขอตัวไปดูของ และก็คว้าแหวนแต่งงานจิมไปด้วย สองจิตสองใจว่าจะซื้ออะไรให้เค้าดี แต่ที่แน่ ๆ ต้องเอาแหวนไปรีไซส์ เพราะคุณพี่แกอวบขึ้นจนแหวนคับ ทีนี้ ก็เริ่มจากขับไปมอลล์ หม่ำข้าวก่อน แล้วก็ไปร้านจิวเวลลี่ที่ซื้อแหวนมา บอกเค้าว่าต้องการรีไซส์แหวน บอกไซส์ไปเค้าก็กำลังทำเรื่อง อยู่ ๆ ก็คิดว่า ถ้าไออยากจะเปลี่ยนแหวนเป็น 1 carat ให้มีมั้ย (แบบเดียวกัน แต่เม็ดใหญ่กว่า) คือไม่รู้อะไรพาให้คิดว่า จะเพิ่มเงินไม่เกินห้าร้อยในการเปลี่ยนจาก ครึ่งกะรัต เป็นหนึ่งกะรัต พอดู ก็อืม สวยดี ถามราคาแล้วก็ต้องเอากีบล่างขึ้นมาปาดเหงื่อ ถึงแม้จะเอาวงนั้นเทรดแล้ว ราคาก็ยังเกินงบของขวัญอยู่ เลยแสร้งเป็นว่า เอาเป็นว่ารีไซส์ไปก่อนละกัน แต่ไอจะขอการ์ดยูด้วยนะ เผื่อไอเปลี่ยนใจแล้วจะโทรมาว่าเอาไง ฮา ๆๆๆๆ (นาทีนั้นอย่างอาย) แต่ก็ไม่อะไรมาก เพราะก็สนิทกับพนักงานคนนั้น พอเค้าทำเร่องให้เสร็จ ก็เดินออก

ไปไหนต่อดีล่ะ คิด ๆ อ่ะ เดินดูโน่นนี่ฆ่าเวลา อ๊ะ เห็น Mrs.field เลยเข้าไปสั่งมิลค์เชคแล้วเดินดูดทั่วห้าง ไม่ได้อะไร ก็อ่ะ เปลี่ยนไปเบสต์บายละกัน ไปดู PC ไว้ซื้อเป็นของขวัญให้ทุกคนในบ้าน (ปีนี้เราตกลงกันว่า จะไม่ซื้อของขวัญแยก แต่ซื้อเป็นของใหญ่เข้าบ้านดีกว่า) ก็ไปเดินดูซักถาม จนเจอที่ถูกใจ ตัว Sony Vaio รุ่นไรจำไม่ได้แล้ว แต่สวยมาก ๆ เลย มอนิเตอร์ 22 นิ้วได้ ลูบ ๆ อยู่นาน แล้วก็เดินออกมาตัวเปล่าอีก อิอิ จากนั้น ก็ขับรถไปมาร์แชล (อันนี้ไม่เกี่ยวกับของขวัญสามี ไปเดินเล่นฆ่าตัวตาย เอ้ยฆ่าเวลาค่ะ) ก็เดิน ๆ ไป เกือบจกน้ำหอมมาเพิ่มอีก แต่ไม่มีที่ถูกใจ เลยผ่านไปก่อน และก็ได้ของใช้ในครัวมาหนึ่งอย่าง และก็เดินออกมาจากร้าน ทีนี้นึกได้ เออ เอาเป็นกิฟต์การ์ด โฮมดีโป้ละกันวุ้ย เค้าอยากได้ของในนั้นเยอะแยะ ก็เลยแวะไปซื้อกิฟต์การ์ด และก็การ์ด เสร็จก็กลับบ้านสบายอุรา (เสียทรัพย์ :()

กลับบ้านมาได้สักพัก จิมโทรมา ถามว่าถ้ายูอยากให้ไอซื้อของหรือยูอยากไปซื้อเอง (ประมาณจะให้กิฟต์การ์ดหรือเงินว่างั้น) โหย เสียรมณ์อ่ะ มาถามงี้ไม่ชอบเลย ก็เลยบอก ไอด๊อนโน๋ว แล้วทำเสียงงอน ๆ ไป จากนั้นเค้าก็บอกว่า วันนี้ไอจะกลับเย็นหน่อยนะ เราก็อ๊ะ ไม่ว่าไร พอถึงเวลา 5 โมงก็แล้ว เอ๊ะยังไม่มา (ตอนนั้นเจ้าคิมผีเข้าแล้ว เอ้ย ไม่ใช่ เค้ามีอาการคันเหมือนแพ้อะไร วิ่งรอบบ้านเลย ร้องโอย ๆ ทำไง ไอ้เราก็ประสาทจะกิน ทำไรไม่ถูก) จนกระทั่งเกือบหกโมงนู่น มาถึง ก็เดินมากอดหอมแล้วบอก Happy anniversary my wife เราก็พูดตอบ แล้วก็ให้การ์ดไป เค้าเปิดอ่านแล้วก็เจอกิฟต์การ์ดค่อย ๆ หล่นลงมาทีละใบ ๆ เค้าก็เห้ย โฮมดีโป้กิฟต์การ์ดเหรอ หัวเราะกัน แล้วอ่านการ์ดจบ ก็มากอด บอกรักกัน จากนั้นเค้าก็เอาของขวัญเค้าให้เรา เป็นถุงจิวเวลรี่ร้านที่เราเพิ่งไปวันนี้เนี่ยแหละ :O ทีนี้เลยรู้เลยว่าเราก็ไปมาเหมือนกัน เอิ๊ก ๆ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

เค้าก็บอกว่า Honey, i'm sorry that I can't get what you wanted or I wish I could afford something you would like เราก็เปิดของขวัญ มันเป็นอัลบั้มรูปหนังน่ารัก ๆ เล่มนึง เราก็ว่าน่ารักน่ะนะ และก็ขอบคุณเค้าไป จากนั้นเค้าก็เดินไปที่รถอีก แต่เราไม่ได้สนใจ เอาเจ้าเกียไปด้วย ไปหยิบอีกถุงใบเล็ก มาแล้วห้อยที่คอเจ้าเกีย แล้วก็ปล่อยให้วิ่งมาหาเรา พอเห็นปุ๊บ ขำทันที ก็อุ้มเจ้าเกียขึ้นมากอดหอมปกติแล้วค่อย ๆ ปลดเปลื้องพันธนาการจากตัวหมาน้อย แล้วค่อย ๆ บรรจงเปิดของในถุงซึ่งอยู่ในห่อของขวัญสีทองสวยงาม (ขั้นตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมา จิ๊) พอเปิดออกมาก็กรี๊ด เจอหนู ไม่ใช่ ก็เจอสิ่งนี้

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จิมก็หยิบมาใส่ให้ แล้วก็ถามว่าชอบมั้ย ว่าแล้วรีบชิงตอบไปก่อนว่าชอบมาก ๆ และก็ขอบคุณกันไปยกใหญ่ แล้วทีนี้ก็มาถึงช.ม. ซักถาม บอกเค้าไปว่ายูไม่ใส่ใจเลยเหรอ ว่ากิฟต์การ์ดมันมูลค่าที่เท่าไร เค้าก็บอก ไม่รู้อ่ะ มันไม่บอก เราก็เลยโชว์ให้ดู เค้าก็หูย ฮันนี่ ไมเยอะจัง (เป็นมูลค่าของที่เค้าอยากได้นั่นแหละ แต่ของเค้าเป็นของแบบซื้อเข้าบ้าน ฮา ๆๆๆๆ) แต่เค้าก็ดีใจมาก ทีนี้เราเลยถามกลับไปบ้าง ว่าของไอเนี่ยเท่าไร (จริง ๆ ก็รู้แหละว่ามันไม่ดี) เค้าไม่ยอมบอก เลยทายไปว่า 99 บาทเหรอ เค้าก็บอก ยูจะบ้าเหรอ เลยทายเพิ่มไปอีกว่า อ่ะ 199 ละกัน คงไม่มากกว่านี้หรอก เค้าก็บอก ครึ่งกะรัตนะที่รัก พอพูดงี้มาเราเลยตาตั้งบอก เห้ย บอกมานะเท่าไร คะยั้นคะยอจนสุดท้ายยอมบอกมา เราตกใจเพราะคิดว่ามันมากเกินไปสำหรับตอนนี้ ขณะที่เรากำลังมีภาระใหญ่เกิดขึ้นมา แต่ไม่บ่นเค้านะ กลัวเสียใจ บอกแต่ว่าทำไมยูซื้ออ่ะ เค้าก็บอกว่า you worth it and I like to see smile on ur face โหย หวานมั้ยตาจมูกโตของฉัน ก็เลยหุบปากหนา ๆ และหมา ๆ ของอิฉันไปได้ (ออกตัวก่อนว่ามันไม่ได้แพงมากกกกแบบเป็นพันอะไรนะคะ แต่ว่า เรากำลังมีค่าใช้จ่ายรออยู่ข้างหน้าเลยคิดว่า ณ ขณะนี้อาจจะไม่จำเป็นน่ะ)

จากนั้น น้องสาวจิมก็มา แล้วเราก็ออกไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกัน จิมก็ใส่ทักษิโด้ เราก็ใส่ราตรีกัน เอ่อ ฝันไปเป่าคะเมริง อิอิ เป่าเลย ก็ใส่ยีนส์กับสเวตเตอร์กันธรรมดา ไปกินก๋วยเตี่ยวร้านอาหารเวียตนามกันสองคนแค่นั้นแหละ แต่แค่นี้เราก็สุขใจ๊สุขใจ นั่งกินไปคุยกันไป ที่บอกแค่นี้ก็สุขใจเพราะไปกันสองคนกับอีกหนึ่งในพุง ซึ่งปกติเราไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวกันแบบนี้เลย เพราะจะมีเจ้าคิมอยู่ด้วยตลอด โอ๋เลยถือว่า เป็นเวลาที่มีความสุขมาก ถึงแม้มันจะสั้น และเป็นอะไรที่ธรรมดามาก แต่ก็มากไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของเราสองคน

อยากบอกจิมว่า ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณที่รักเราและอดทนในความเป็นเรา ปกติจะบ่น ๆ เค้าซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้บอกว่า เราโชคดีขนาดไหนที่ได้มาเจอ และร่วมชีวิตกับเค้า หวังว่าเค้าจะรับรู้ในความรักที่เรามีให้ และก็สุดท้าย ขอให้เราผ่านในทุกช่วงของชีวิตไปได้อย่างแข็งแรง และมีวันครบรอบแต่งงานให้ฉลองแบบนี้ตลอดไป รักจิมจัง

Tuesday, November 13, 2007

ยิ่งใกล้ยิ่งขี้เกียจแฮะ

จริง ๆ ปกติไม่ท้องก็สันหลังยาวเป็นไมล์อยู่แล้วค่ะ ยิ่งพอท้องบวกกับใกล้คลอดเข้าไปทุกที ยิ่งไปกันใหญ่เลย ตอนนี้อยู่ที่ 37 weeks ได้แล้วนะคะ เหลืออีก 3 weeks ได้ก็จะเจอกับน้องคิ้วท์แล้วล่ะ จะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้นมาก จะว่ากลัวก็กลัวมากกกกกก กว่า แต่เอาจริง ๆ คือ อยากคลอดแล้วล่ะค่ะ เพราะตอนนี้มีทุกอาการมาหมดเลย อาการปวดบริเวณช่วงล่าง หว่างขา หัวหน่าว จนกระทั่งปวดบริเวณนั้น เรียกว่าปวดตลอดเวลา แต่ที่ทรมานมากที่สุด คงไม่พ้นเรื่องอาการปวดหลังล่ะ ปวดจนหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ่อย ๆ จะนั่งจะนอนก็ไม่สบายตัวเอาซะเลยล่ะค่ะ

แต่เด๋วก็คงจะดีขึ้น เพราะจะทำงานถึงวันศุกร์ที่จะถึงนี้แล้วก็พักแล้วล่ะค่ะ ไม่ไหว ใจก็อยากช่วยเค้าไปยันสิ้นเดือน เพราะเค้าหาคนมาทำแทนไม่ได้ แต่ก็อีกล่ะ ดูท่าแล้วต่อให้คลอดแล้วก็น่าจะยังหาคนแทนไม่ได้อยู่ดี ก็เลย พักเลยดีกว่า เค้าก็โอเคไม่ว่าอะไร (จะว่าไรได้ล่ะนิ ลาไปคลอดนี่นา ไม่ใช่ลาไปขรี้ เอิ๊ก ๆ)

ว่าแต่บล็อกนี้จะอัพฯ อะไรดีเอ่ย ตอนแรกว่าจะอัพฯ เกี่ยวกับเบบี้ชาวเวอร์ คุณสามีก็น่ารักมาก ไม่สนใจถ่ายรูปอะไรให้เลย ให้สาว ๆ ที่อยู่ในงานเป็นคนถ่าย เค้าก็หม่ำ และก็เล่นเกมส์กัน ใครจะสนใจมาถ่ายล่ะนิ แต่ก็มีบ้างนิดหน่อยล่ะค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นวีดีโอซะมากกว่า แต่สรุปว่างานออกมาประทับใจสมกับความสอดรู้สอดเห็นของตัวเอง มีแขกทั้งหมด 16 คนได้ มีอาหารง่าย ๆ แซนด์วิช ผลไม้ สแน็ค และเราก็ทำปอเปี๊ยะด้วย ซึ่งทุกคนชอบมาก แต่ที่เห็นจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนก็คงไม่พ้น chocolate fountain ที่เพื่อน ๆ และแขกได้สนุกกัน เอาสตรอเบอรี่ มาร์ชเมลโล่ และก็แครกเกอร์ (มีอีกอย่างจำชื่อไม่ได้เฉยเลยอ่ะ วุ้ว) ดิพช็อคโกแลตกันสนุกและอร่อยไปเลย

งานนี้ประทับใจเพื่อนร่วมงานมาก จัดการหาเกมส์ ของรางวัล อะไรต่าง ๆ มาเองทั้งหมด ขอเอ่ยชื่อละกันค่ะ Vicki เป็นผู้ใหญ่ใจดี อายุห้าสิบแล้ว แต่หน้าตาดูยังแค่สามสิบปลาย ๆ สี่สิบเอง เป็นคนดำเนินการทั้งหมด ทำพั้นช์ อะไรมาให้ ช่วยจัดการ ช่วยเก็บล้าง ซึ่งเราประทับใจและทราบซึ้งมาก!!

ทีนี้มาถึงห้องคุณลูกสาวก่อน หลาย ๆ คนคงเห็นแล้ว บางคนอาจจะยังไม่เห็น ว่าออกมาเป็นยังไง แต่ก่อนอื่น คงเกริ่นก่อนนิดนึงว่า ถึงแม้คำโบร่ำโบราณ จะกล่าวไว้ว่า "ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจคนนอน" เอ่อ ลูกอิชั้นเพิ่งเกิดคงยังไม่สามารถเลือกสี หรือเลือกอะไรได้อย่างใจแน่นอนค่ะ แต่คุณลูกสาวส่งกระแสจิตผ่านรกมาบอกว่า มามี้ขา คิ้วท์อยากได้ห้องสีทูโทน ชมพู ม่วง และเฮลโหล คิตตี้ธีม โฮะ ๆๆๆๆ โดนใจแม่อย่างแรงค่ะลูก จัดให้ดิงั้น เอาจริง ๆ ก็คือ ทำตามใจแม่โอ๋ล้วน ๆ เลยค่ะ โอ๋เป็นคนชอบสีชมพู และก็เฮลโหลคิตตี้มาก แต่ว่าด้วยวัย และหน้าตา ถ้าจะมาถืออะไรแบบคิตตี้ ๆ นี่ คงมีคนมาสะกิดเตือนสติน่ะว่า เอ่อ ป้าคะ ไปยืมของหลานมาหิ้วเหรอคะ เหอ เหอ

ตอนนี้ห้องก็เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์แล้วนะคะ ติดสติ๊กเกอร์ เพิ่มเติม ย้ายเดรสเซอร์ขึ้นมาแล้ว จัดเสื้อผ้าใส่ไปเรียบร้อยแล้ว แบ่งเป็นช่วงอายุ และก็เอาเสื้อผ้าเข้าตู้เรียบร้อยแล้วด้วย สำหรับที่น่ารัก ๆ เป็นเดรสอะไรก็ว่าไป ทีนี้จะแปะรูปอย่างเดียวนะคะ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จริง ๆ เสื้อผ้านี่ มีปะปนกันไปทั้งใหม่และเก่านะคะ เก่านี่เพื่อนร่วมงานให้ของหลานเค้ามา เยอะมาก ๆๆๆ มีทั้งดีเหมือนใหม่ และเก่า โอ๋เลยคัดเอาแต่สภาพดี ๆ ไว้ แต่ก็ยังมีเยอะอยู่ เลยถือว่าโชคดี เพราะไม่งั้นคงจะแย่ไปกว่านี้ หมดกับของลูกเนี่ย และก็ของในตู้ก็มีเป็นของขวัญจากเพื่อน ๆ ในอังเคิลแซมบ้าง จากงานชาวเวอร์บ้าง ยังไงต้องขอขอบคุณทุก ๆ คนอีกทีมา ณ ที่นี้นะคะ (อยากเอ่ยขอบคุณเป็นรายคนไป แต่เกรงว่าจะไม่เหมาะ เลยขอเหมาดีกว่า)

บล็อกนี้ก็คงมีแค่นี้นะคะ สำหรับคนใกล้คลอดคงไม่มีอะไรมากมาย แล้วคงจะเจอกันอีกทีหลังคลอดเลยมั้งเนอะ ยังไงก็ไว้เจอกันค่า

Thursday, September 27, 2007

อดเซอร์ไพรส์เล

ไม่รู้เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองรึเปล่า เลยทำให้คุณซะมีไม่เคยทำเซอร์ไพรส์สำเร็จเลย (จริง ๆ ก็มีสำเร็จไปเหมือนกันนะ แต่ทีเดียว ถ้าจำไม่ผิด)
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนร่วมงานที่ท้องไล่เลี่ยกัน จะมีเบบี้ชาวเวอร์ต้นเดือนหน้า แต่ตัวเองก็ไม่ได้อะไร จิมเคยพูดไว้นานแล้วว่าจะมีให้เราเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร ยังไง แถมแม่เค้ากับน้องสาวยังบอกให้เราหยุดซื้อของได้แล้ว ให้เหลือของไว้ให้พวกเค้าซื้อบ้าง และก็เราต้องมีเบบี้ชาวเวอร์ แล้วก็จบกันไป

ทีนี้ ความผิดสังเกตุคือ จิมเอาตัวอย่างเวบไซด์ของโรงพยาบาลที่เราทำงาน ที่จิมเค้าเขียนใหม่ให้ เอาไปให้หมอดู แล้วเพื่อนร่วมงานเราก็พูดกับเราว่า เค้าจะโทรหาจิม เราก็ไรฟระ มาโทรหาสามีชั้นทำไม เราก็บอกเด๋ววันนี้(เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้) เค้าก็จะเข้าไปเรื่องเวบไซด์น่ะ เค้าก็อ๋อ โอเค ๆ จากนั้น พอจิมกลับบ้าน เพื่อนร่วมงานเราก็โทรมาคุยกับจิมอีก ตาจิมก็แอบ ๆ คุย เราก็อืม มันต้องมีอะไรแน่ ๆ พอคุยเสร็จ เราก็ถามว่า มีอะไรเหรอ เค้าก็เปล่า ๆ แล้วก็ทานข้าวกัน แต่พอเสร็จ เค้าก็เดินมากอดแล้วก็หัวเราะหุหุ ทำท่าเยาะเย้ยเราว่า เค้ารู้อะไรที่เราไม่รู้ ฮืม เล่นไม้นี้ แค้นฮ่ะ แต่ก็ทำเป็นไม่อยากรู้ไป

แต่วันนี้ พอดีเดินเข้าไปในออฟฟิศที่บ้าน ก็เห็นถุง american greeting เราก็เปิดดู ข้างในเป็น invitation cards สวยเชียว (สวยกว่าของเพื่อนร่วมงานเรามากมาย) มีทั้งหมดสองแพ็คได้ (ตอนนั้นจิมนั่งทำงานอยู่ด้วย เค้าก็บอก เห้ย นั่นไม่ใช่ของยู เอาไว้ที่เดิม เราก็เลยทำเป็นไม่สนใจ หุหุ หารู้ไม่ พอจิมหลับ เราก็ย่องไปดู ก็เห็นอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ แล้วก็มีโพยต่าง ๆ ชื่อและที่อยู่เพื่อนร่วมงาน ครอบครัวจิม และก็เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นคนไทย จิมเค้าพิมพ์และพริ้นท์ไว้ จากนั้นก็เห็นโพยหมดว่า จัดที่ไหน วันที่เท่าไร อาหารคร่าว ๆ จะมีเกมส์ยังไง ไรเงียะ พอดูเสร็จ ก็รีบ ๆ พับเก็บที่เดิม และก็เซ็งตัวเอง ว่าทำไมไม่ปล่อยให้เค้าเซอร์ไพรส์ฟระ ทีนี้รู้หมดแล้วอ่ะ ก็ไม่ตื่นเต้นแล้วดิ แต่ก็คงไม่บอกจิมหรอกนะ ว่ารู้แล้ว กลัวเค้าเซ็งและเสียใจ แต่ก็ประทับใจมากเหมือนกัน ที่เค้าพยายามทำอะไรให้ รวมทั้งประทับใจความน่ารักของเพื่อนร่วมงานด้วย

สรุปว่าจะมีเบบี้ชาวเวอร์หลังวันเกิดตัวเองสองวัน (21 ต.ค. นี้) อ่ะค่ะ หวังว่าตัวเองจะไม่ทำเสียเอง จะมีที่บ้านตัวเองด้วย ก็คงต้องทำความสะอาดบ้านยกใหญ่ แต่ต้องทำเป็นไม่รู้ แล้วมันจะทำยังไงฟระ เอาเป็นว่า แล้วจะเอารูปมาอัพเดตให้ดูละกันนะจ๊ะ แอบตื่นเต้นเหมือนกันอ่ะ เคยเห็นรูปพี่น้อง (ในบอร์ดอังเคิลแซม) ตอนมีชาวเวอร์ แล้วแกมีบัลลังก์ส่วนตัว ฮา ๆๆๆๆ

ก่อนจบวันนี้ สรุปเรื่องชื่อให้น้องคิวท์แล้วนะคะ ชื่อน้องคิวท์ก็จะเป็นชื่อเล่นที่ครอบครัวและเพื่อนคนไทยใช้เรียกกันเหมือนชื่อเล่นของเรา ๆ นั่นล่ะค่ะ แต่ชื่อจริงจะเป็น Hayley Asia Torres (initial:HAT haha) อ่านว่าเฮย์ลี่ ส่วนชื่อกลางก็จะเป็นได้ทั้งชื่อไทยด้วย และเมกันไปในตัว ก็โอเค ไม่ต้องมาปวดหัวนั่งคำนวณตัวเลข แล้วแม่จิมก็ชอบชื่อเอเชียนี่มากด้วย บอกคุณยายจิมไป แกชอบใหญ่ พอเขียนให้แกดูในกระดาษ แกฉีกไปเก็บไว้เลย น่ารักจริง ๆ คุณยาย

ปล. อัพดูดตัวเองหน่อย มีหลายคน อยากเห็นความฉุ ของว่าที่คุณแม่น้องคิวท์ ว่าพุงล้ำไปถึงไหนแล้ว แต่ว่าเป็นคนไม่ค่อยชอบถ่ายรูป เพราะไม่มั่นใจ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าขี้อาย (ใครเค้าเชื่อ?) เลยไม่ค่อยได้ถ่ายภาพตัวเองไว้ตอนท้องเลย จิมถ่ายก็ไปตามลบหมด รับตัวเองไม่ได้ แต่มีภาพตอนไปงานแต่งเพื่อนร่วมงานมา นิดหน่อย เห็นหน้าแล้วบ่งบอกเลยว่าไม่อยากถ่ายอย่างแรง หุหุ (ถ่ายจากมือถือทั้งสองรูป เหะ เหะ)

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Friday, September 21, 2007

ขอรีวิวกะเค้ามั่งจิ (เค้าก็เป็นสาวกห้องโต๊ะเครื่องแป้งเหมือนกันน้า (ภาคสอง)

มาต่อภาคสองกันมั่ง อย่างที่บอกไว้ในบล็อกที่แล้ว ว่าบล็อกนี้จะเป็นเมคอัพล้วน ๆ นะคะ ไม่พูดพร่ำทำเพลง งั้นมาดูกันเลยละกันค่ะ (นี่เพิ่งสั่งกลอสเพิ่มไป ของ Becca น่าจะมาถึงวันจันทร์ นี่ถ้าไม่ถูกไม่ซื้อจริง ๆ ด้วย อิอิ)

มาดูภาพหมู่ก่อนละกันค่ะ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จริง ๆ มีเยอะกว่านี้อีกนิดนึง เพิ่งส่งไปให้เพื่อนที่ออสเตรเลีย และก็ให้พาเลทหลานสาวจิมไปชุดนึง ของ Hard Candy และก็ให้สาว ๆ แถวนี้ไปบ้าง กลัวมันจะหมดอายุก่อนจะได้มีโอกาสใช้ เหอ เหอ บ้าของ แต่ไม่บ้าแต่ง แล้วแต่อารมณ์จริง ๆ ค่ะ ยิ่งตอนนี้ท้องนะ โหย ขี้เกียจบรรลัยโลกเลย อ่ะ ทีนี้มาดูแยก ๆ เป็นประเภทกันบ้าง

เริ่มจากพวกโบก โบ๊ะ ปกปิดกันก่อน ก็จะเป็น Primer, Tinted, foundation stick and concealer นะคะ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จะมีปะปนกัน ที่ใช้อยู่ประจำ จะเป็น Laura Mercier ใช้ตั้งกะก่อนมาเมกาแล้ว ติดใจ เลยยังไม่เปลี่ยน Tinted โอ๋ใช้สี Fawn ซึ่งพอดีกับสีหน้าเลย พอดีเห็น Becca ลดกระหน่ำในเซโฟร่า เลยสอยมาด้วย ลองใช้แล้วชอบนะคะตัว Tinted เป็นแบบน้ำ แต่ได้สี Sand มาซึ่งค่อนขาวกว่าหน้าหน่อย เลยเอาผสมกับลอร่า ก็ออกมาโอเคเลย ส่วนตัว Primer ยังไม่เห็นความแตกต่าง ระหว่างป้าลอ กับเบคค่า ก็ลองใช้ไปเรื่อย ๆ ก่อน จากนั้นก็เป็น Secret Camouflage SC3 ตัวนี้ตัวเอก เพราะปกปิดได้ดีจริง ๆ ค่ะ จะเห็นมีคอนซีลเลอร์ของป้าลอ อีกตัวด้วย อันนั้นได้แถมมา ลองแล้วไม่รู้สึกอะไร เลยไม่ค่อยได้ใช้ ทีนี้มาที่ Smashbox lips&lid ซื้อมานานแล้วเหมือนกัน ส่วนใหญ่ ใช้ทาเป็นรองพื้นปาก ก็โอเค ทำให้สีติดทนนาน แต่ lid ไม่ค่อยได้ใช้อ่ะค่ะ
ทีนี้มาที่ foundation อีกสามตัว สองตัวหลอดเล็ก เป็น Bobbi brown ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง แล้วแต่อารมณ์ ถือว่าปกปิดโอเคเลยค่ะ แต่ว่าต้องใช้หน้าหนาว เพราะตัวเองหน้ามัน ทีนี้สุดท้าย หลอดใหญ่สีเงิน ๆ เป็นของ Red Earth พี่สาวส่งมาให้ ยังไม่ได้ลองเลย ไม่รู้ว่าดีไม่ดียังไง

ทีนี้มาที่ แป้ง ๆ

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ตัวเอกก็คงเป็น แป้งเด็ก ชิเซโด้ เพราะใช้บ่อย (ตลับที่อ้อมส่งมาให้ล่ะจ้ะ เห็นสภาพเป่า ผ่านหลายสงครามมาก) แต่ถ้าแต่งหน้าก็จะใช้ป้าลอ loose powder สี translucent น่ะค่ะ ตัวนี้ใช้ตั้งกะอยู่ไทยเช่นกัน ยังประทับใจอยู่เลยไม่เปลี่ยน
แต่ก่อนจะมีตัว pressed powder สีเดียวกัน ของป้าลอพกไว้ แต่ว่าพัฟ ห่วยแตกมาก ต่อให้ใช้บรัช ก็ฝุ่นกระจาย ไม่ประทับใจ เลยเอาไปเปลี่ยนค่ะ แล้วเห็นตลับของลังโคม จริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจซื้อ แต่เพราะอยากได้ของแถม อิอิ เลยซื้อมา เป็น pressed powder สี transparent ไว้เติมระหว่างวัน (แต่ไม่ค่อยได้เติมหรอก) อีกตลับ เป็น foundation powder ของ Biotherm ถามว่าดีมั้ย ก็โอเคในระดับนึง แต่ถ้าหมดอาจจะไม่ซื้อใหม่ เพราะคงจะลองยี่ห้ออื่น สุดท้าย เป็น night amulate สะกดงี้เป่าไม่รู้แฮะ ของ Ettusais เป็นแป้งใช้ทาก่อนนอน แต่เฉย ๆ มาก ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกับใช้แป้งจอห์นสันเลย แพงซะเปล่าอ่ะค่ะ (อันนี้ฝากอ้อมซื้อจากไทย อิอิ)

ทีนี้มาที่ High lighter, shimmer กันบ้าง

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ไม่มีตัวไหนชอบเลย เพราะเป็นคนหน้ามัน ปัดพวกนี้ แล้วจะทำให้ดูหน้ามัน ฉ่ำ ๆ แปลก ๆ ได้ลุคที่ไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไร แต่เก็บไว้ใช้ปัดตอนกลางคืนบ้าง เวลาอยากให้ออกเงา ๆ หลังปัดบลัชแล้ว ก็โอเคค่ะ (ตัว เบคค่า ที่เพิ่งได้มา โอเคนะ ออกสีทอง ปัดบาง ๆ หลังจากปัดบลัชสีส้ม ก็ออกมาเงา ๆ เล็ก ๆ)

ทีนี้มาที่ บลัช

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

บลัชนี่ขาดเธอขาดใจ ตาไม่เป็นไร เพราะแต่งตาไม่ค่อยเป็น แต่บลัชนี่ต้องมี ที่เป็นพาเลทจะเป็นของ เอสเต้ ที่พี่สาวซื้อให้ตอนกลับไปแต่งงาน ซื้อเป็นชุดใหญ่ที่ขายช่วงคริสมาสต์หรือไรเนี่ยอ่ะค่ะ ใช้แล้วก็โอเค ได้ลุคธรรมชาติ จากนั้นของ DVF ไปเจอที่ TJMaxx เห็นสีชมพูน่ารักดี เลยลองดู ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะหน้าโหด ปัดสีนี้แล้วเหมือนบ้าบี๋ มากกว่าบาร์บี้ จากนั้นก็เป็น Biotherm, Dior, Rimmel, Make up forever(สุดที่รัก) Becca และก็เอสเต้ตัวแถม จะสังเกตุว่าสีออกโทรส้ม ชมพูทั้งนั้น อยากได้ของพวกนาร์ส หรือแม็คเหมือนกัน สีสวย ๆ ทั้งนั้น แต่ว่า ถ้าเอามา ก็ต้องกำจัดของเก่าก่อน แต่ยังเสียดาย บวกกับ เงิน ๆๆๆๆ เลยพักกันไป

มาต่อที่ eyes shadow

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

เรื่องตานี่ไม่เซียน เลยขอผ่าน เอาให้ดูเฉย ๆ ละกันค่ะ ตลับพาเลทสีทอง ก็เอสเต้ชุดเดียวกับบลัช และก็ ลังโคม ไม่เคยใช้เหมือนกัน ต่อจากนั้นก็ Dior, estee (GWP) ลอริอัล, เมย์เบลลีน และก็ ป้าวิคกี้

ทีนี้มาที่ Mascara and brow กันบ้าง

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จะเห็นว่ามีมาสคาร่าเยอะมาก แถมจากเอสเต้ก็เยอะ มิสทีนที่อ้อมให้มาก็ยังอยู่ มี แม็คแฟคเตอร์ เมย์เบลลีน เบคค่า ที่เพิ่งได้มา (แต่เป็นสีน้ำตาล) และก็มีอายไลน์เนอร์ เป็นดินสอ ของเอสเต้ สีดำ แบบสองสีที่ได้มาเป็นเซ็ทของ เบคค่า สีสวยเชียวค่ะอันนี้ และก็เมย์เบลลีน ส่วนคิ้ว จะเบ็คค่า กับ Smashbox ชอบทั้งสองตัว แต่ สแมชบ็อกซ์นี่ซื้อพร้อมแปรง เป็นแว็กซ์ กับพาวเดอร์ แว็กซ์ใช้เก็บขนให้เป็นระเบียบ (แปรงก็เมดอินไชน่า วู้ว ตั้งแพง)

มาถึงลิปสติก ลิปกลอส

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ลิปสติกยังไม่เจอยี่ห้อที่ประทับใจจริง ๆ เลยค่ะ ก็ใช้ให้มันหมด ๆ ไป ลิปกรอสนี่ก็ปกติไม่ค่อยใช้ แต่พอได้ลองเบคค่า ที่เพิ่งได้มา เลยชอบ เพราะทำให้ปากนุ่มมาก เลยสั่งไปเพิ่มอีก นี่ยังมาไม่ถึงเลย ยี่ห้อก็มีเอสเต้ คลินิค ดิออร์ ลังโคม แม็ค นาร์ส เอลิซาเบธ อาร์เดน (สีสวยมากแท่งนี้) เบคค่า ป้าลอ etc.

ต่อไปก็เป็นพวก Tools ต่าง ๆ ทั้งบรัช และก็ที่ดัดขนตา

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

พวกบรัชนี่ น่าจะแล้วแต่คนชอบจริง ๆ โอ๋ซื้อเป็นเซ็ทมาจากอีเบย์ ของนาร์ส ถามว่าดีมั้ย ก็ไม่แบ๊ดอะไรมากมาย และก็มีของ Bare mineral อันนี้ใช้พกพา และก็มี อย่างอื่นอีก แต่ขี้เกียจบรรยายแล้วดูจากรูปแล้วกันนะคะ ส่วนที่ดัดขนตา ของลุงชู กับลังโคม (ได้แถมมา) ชอบลุงชูอ่ะ แต่ก็ไม่เห็นความแตกต่างมาก จริง ๆ แล้ว

สุดท้ายแล้ว มาที่พาเลท

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

พาเลทที่เป็นกระดาษ นั่นของ Hard Candy ซื้อมาสองเซ็ท อีกเซ็ทให้หลานสาวจิมไป เซ็ทนี้ สีสวยใช้ได้ แต่ไม่ได้ใช้ เก็บไว้สวยงาม และอีกเซ็ทเป็นอันที่พกในกระเป๋า ณ ปัจจุบัน ของคลินิค สีก็แนวคลินิคอ่ะค่ะ ไม่มีอะไรฉูดฉาด

ก็หมดแล้วอ่ะ ไม่มากไม่น้อยนิ แล้วคราวหน้าก็คงจะกลับมาเขียนเกี่ยวกับเบบี้ละกันค่ะ ขอบคุณที่ติดตาม

Thursday, September 20, 2007

ขอรีวิวกะเค้ามั่งจิ (อ๊ะ เค้าก็เป็นสาวกโต๊ะเครื่องแป้งเน่อ) ตอนที่หนึ่ง

เกริ่นหน่อย ๆ หลังจากที่กลายมาเป็นยัยพุงป่อง ก็ห่างหายไปจากวงการความสวยความงาม ไม่ได้สนใจชาวโลกว่าจะใช้อะไร ยี่ห้อไหนดี เวบไซด์ที่เข้าประจำ อย่างพันทิพย์ห้องโต๊ะเครื่องแป้ง เวบฯเซโฟร่า หรืออีเบย์ ก็ไม่ไปแตะเลย ประมาณว่าแค่เห็นก็มีของเหลวมาจ่อที่คอแหล่ว จนกระทั่งผ่านพ้นช่วงพีคของชีวิตมาถึงเดือนที่ห้าปลาย ๆ ก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ เริ่มเห็นว่าโลกสวยงามอีกครั้ง เริ่มกลับมาสนใจตัวเองอีกรอบ (ช่วงแพ้ และไม่สบายนี่ ไม่แตะไรเลย จนเพื่อนร่วมงานทักว่า you look so pale)

พอความสนใจใคร่รู้กลับมา ความอยากพร้อมกิเลสก็ประเดประดังเข้ามาอีกรอบ เหอ เหอ ถึงพุงจะป่อง ตรูดจะหญ่าย ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการของตัวเองได้ พอเริ่มกลับมาสนใจ ก็เริ่มหาโน่นหานี่เข้ามาเพิ่ม อ๊ะ สกินแคร์ตัวนี้ใกล้จะหมดแระ เบื่อว่ะค่ะ อยากลองยี่ห้ออื่น เอ๊า สอยมา อ๊ะ ตัวนี้ก็จะหมดอีกแล้ว เบื่อตัวเก่าอีกว่ะค่ะ อ้าว ก็สอยมา จนกระทั่งต้องบอกตัวเองว่า เอ่อ จะซื้อมาหา....อะไรเยอะแยะคะ เด๋วน้องคิ้วท์เกิดจะชวนลูกเล่นแต่งหน้าหรือไงไม่ทราบ? เหะ เหะ

เอาเป็นว่ามาเข้าเรื่องเลยเนอะ พล่ามมานาน แต่บล็อกนี้คงเป็นพวกสกินแคร์ ตัวบำรุงตั้งกะหัวจรดเท้าละกันค่า แต่ไม่มากมายไรนะ แค่พอไปวัดไปวากับชาวบ้านเขาได้ และก็ไม่เดือดร้อนงบเท่าไร (ไอ้ที่เดือดร้อนน่ะ พวกเมคอัพทั้งน้าน แต่ไว้บล็อกหน้าละกัน เมคอัพ)
เริ่มจากรวมเครื่องประทินผิวหน้าก่อน

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จะเห็นได้ว่า ตัวทำความสะอาดมีแค่สองตัวอ่ะค่ะ เช้าจะเป็น นูโทรจีน่าสำหรับผิวมีสิว จริง ๆ ซื้อมาให้จิม แต่พอตัว Purity ของ Philosophy หมด ก็ยังไม่ได้ซื้อใหม่ ขโมยสามีมาใช้ (ว่าจะสอย เซตาฟิล ที่เพื่อน ๆ ใช้เหมือนกัน มาใช้ตอนเช้าอย่างเดียว ก็ยังไม่ได้ฤกษ์ซะที) อ่ะ ต่อ ๆ ส่วนตัวกลางคืน ก็จะเป็นตัวเดิมที่ใช้มานานแล้ว (นี่เป็นหลอดที่สองตั้งกะมาอยู่เมกา) ใช้แล้วชอบ เลยยังไม่อยากเปลี่ยนเท่าไร ของ Origins แต่ถ้าแต่งหน้าหรือทากันแดง ก็จะต้องใช้ตัว Take the day off ของ Clinique ก่อน ไม่งั้น ตัวออริจินส์ตัวเดียว เอากันแดดแบบกันน้ำไม่ออก เสร็จแล้วก็ต่อด้วย Toner ของนูโทรจีน่า แบบ Algohol free, fragrance free ชอบเหมือนกัน ถูกดี ใช้ได้แบบไม่ต้องกลัวหมดเลย

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

อ่ะ ทีนี้ก็มาถึง ตัวบำรุง หลังจากที่ใช้ของ Philosophy กับ Origins มาจนเบื่อ ก็เลยอยากเปลี่ยนไลน์บ้าง ก็ดูโน่นดูนี่ หาไปเรื่อย ๆ จนมาสรุปที่ Estee Lauder (อีกแล้ว) ที่ว่าอีกแล้ว เพราะเคยใช้มาก่อน แต่ไม่ใช่ชุดนี้ จริง ๆ ก็ชอบนะ แต่ว่าอยากลองยี่ห้ออื่นแค่นั้นอ่ะค่ะ แต่สุดท้าย ก็มาตายรัง เริ่มจากสนใจตัว Idealist pore minimize skin refinisher อะไรซักอย่าง ที่เป็นซีรัม ตัวนี้ออกใหม่ ตัวเองเคยใช้ ตัว Idealist ตัวเก่าที่เป็นขวดเหมือนกับพินโบลลิ่ง มาก่อน ชอบมาก เลยคิดว่า ตัวนี้เราคงใช้ได้ดีเหมือนกัน ก็ไปซื้อมาก่อนที่ Macys แต่วันที่ไปซื้อ ไม่มีแถมอะไรเลย ราคาตั้งแพง แต่ก็เอามาก่อนเพราะอยากใช้ ทีนี้ มาเข้าเวบฯ estee lauder.com โหย แถมเพียบเล้ย เลยสั่งจากทางเวบฯ แล้วก็เอาตัวใหม่ไปคืนเค้า อิอิ พอมีตัวแรก ก็ต้องมีตัวต่อไป ก็ต้องเป็น moisturizer ก็ไปที่เคาน์เตอร์อีกนั่นแหละ ไปถามเค้าว่า ผิวหน้าเฮีย ๆ แบบไอเนี่ย เหมาะกับมอยส์เจอร์ตัวไหนเหรอ เค้าก็ถามสภาพผิว แล้วก็สรุปมาที่ตัวที่เป็นแค่มอยส์เจอร์ Day wear plus ไม่ได้ทำอะไรมาก ราคาไม่แบ๊ด แต่เราอยากได้ที่ พรีเว้นท์พวก wrinkle or lifting เค้าก็บอก ยูยังไม่จำเป็นต้องไปใช้พวกนั้นเลย ใช้แค่ตัวนี้ล่ะธรรมดา ก็โอเค ไม่ให้ซื้อก็ไม่ซื้อฟระ กลับก็ได้ แล้วก็มาสั่งทางเวบฯเอสเต้ เอา ก็ได้เซ็ท Future Perfect for normal/combi skin เป็นเซ็ท มา ถูกใจมากฮ่ะ สั่งไปแล้วก็ได้ของแถมอีก หุหุหุ ทีนี้ ทางเค้าน์เตอร์เอสเต้ที่เมซี่ โทรมาให้ไปทดลองแต่งหน้า และเลือกสกินแคร์ อ่ะเราก็ไป ก็ได้กิฟต์เซ็ทมาอีกชุดนึง ยิ้มสิคะ แล้วเนื่องจาก ต้องการตัวไนท์ซีรัมด้วย เลยสอบถามบีเออีก เค้าก็แนะนำตัว Advance night repair มา เราก็ว้า มีตัวเดียวเนี่ยน่ะเหรอ แต่ก็เอามานะ (ทุกตัวที่ซื้อ 50 ml หมดเลย) แต่ก็ซื้อมาลองก่อน แล้วก็เหมือนเดิมฮ่ะ กลับมาถึงบ้าน มาลองใช้ได้สองสามวัน ถูกใจ เลยไปสั่งจากเวบฯเอสเต้มาอีก กร๊ากกกก เพราะอยากได้ของแถมเพิ่มเท่านั้นเอง แล้วก็เอาตัวใหม่ไปคืนที่เคาน์เตอร์

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

จะเห็นว่ามี eyes cream อยู่สามตัว สองตัวที่เป็นของ estee นั่นก็แถมมานั่นล่ะค่ะ แต่ตัวแถมก็ครึ่งนึงของฟูลไซส์นะคะ เราเลยประหยัดค่าครีมรอบดวงตาไป ได้มาสอง ก็เท่ากับขนาดจริงพอดี เป็น resilience กับ future perfect eyes cream ตัวแรกเป็นตัวยกกระชับ ตัวที่สอง เป็นแอนตี้ รอยย่นน่ะค่ะ ใช้แล้วชอบทั้งสองตัว แต่ก็ยังใช้ตัว hope in a tube ของฟิโลฯ ไปด้วย ให้มันหมด ๆ ไป ใช้ตอนเช้าน่ะค่ะ ส่วน ตัวตลับเป็น Shea Butter ของ L'occitaine ใช้เป็นอายครีม ตอนช่วงหน้าหนาว ให้ความชุ่มชื้นได้ดีทีเดียวค่ะ

อ่ะ จบเรื่องบำรุง ก็มาดูตัว พอก ลอก ขัด กันบ้าง

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ตัวที่ชอบที่สุด คงจะเป็น Microdelivery peel ของ Philosophy ใช้แล้วหน้าจะนุ่มมาก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ หน้าใสขึ้น (เห็นได้ชัดหลังจากการใช้ในทันที) ไม่ใช่เป็นตัวขัดหน้า เหมือนสครับทั่วไป จะมีสองตัว ตัวแรกจะเป็นเกล็ดวิตฯซี (ใช่เป่าหว่า) ซึ่งจะใช้ทาทั่วหน้าบาง ๆ ก่อน เสร็จแล้วก็ตามด้วยวิตฯ ซี ซีรั่ม ทาทับบนตัวแรก แล้วมันจะทำปฏิกิริยากัน เป็นฟองฟู่น้อย ๆ สีขาว ๆ ค่อย ๆ กด ๆ วน ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักพัก แล้วล้างออก หน้าจะใสและนุ่มมากค่ะ
จริง ๆ จะมีอีกตัวของออริจินส์ จำชื่อไม่ได้แล้ว นั่นก็ชอบเหมือนกัน เป็นสครับ กลิ่นหอมมาก แต่ให้พี่อรไปแล้ว (ให้ตัวที่ยังไม่ได้ใช้) มาถึงพอก เป็นของ Crabtree&evelyn เป็นโคลนพอกหน้าของจีน หรือไงเนี่ยแหละ อยากลองใช้ แต่พอใช้แล้วเฉยมาก ๆ เลย ไม่รู้สึกว่าทำให้หน้าดีขึ้นหรืออะไร
มาถึงตัวเอกอีกตัว เป็นแป้งพอกหน้าจากประเทศแถบยุโรป ชื่อ mianma (เอ่อ ใครเขาบอกเมริงคะ ว่าพม่าอยู่โซนยุโรป? อิอิ) เป็นแป้งพม่าเนี่ยแหละค่ะ ใช้แล้วชอบมาก หน้าจะเนียนผ่อง ออกเหลืองนวลนิดนึง อันนี้พี่สาวส่งมาให้ ใช้แล้วสำเนียงการพูดจะออก เมียงปร๊ะ สบรึย ปรองแปรง แล้วอยากสวมโสร่งมาก
อีกตัวเป็น refining mask จาก Proactive อันนี้ซื้อจากอีเบย์ ตัวเดียวโดด ๆ ถามว่าดีมั้ย (ใครถาม?) ก็ชอบนะคะ แต้มหัวสิวตอนกลางคืน ตื่นมาหัวยุบ (หมายถึงหัวเรานะ เพราะแต้มซะน่ากลัว จิมตกใจตื่นคิดว่าผี เลยเข่าซะ อิอิ)
และสุดท้ายนี้ก็ ตัวแต้มสิว clean and clear แรก ๆ ชอบ เพราะรู้สึกว่า โอ้ว ของถูกและดีมีจริงในโลกแฮะ ใช้แล้วสิวยุบ แต่พอนานเข้า มันกลับเฉย ๆ ล่ะ เห้อ

หมดเรื่องหน้าแล้ว มาต่อกันที่ อะไรก่อนล่ะ ผมละกันค่ะ เนื่องจาก เห็นเพื่อนอ้อม และก็พี่ปุ้ย ณ อังเคิลแซม บอกว่า ตัวกรีนที ของ พอลมิทเชล ดีนักหนา อิชั้นเลยไปสอยมาซะขวดปั๊มใหญ่เลย (ซื้อแบบ buy 1 get the other 50% off ด้วย) ก็สรุปว่าคงใช้ไปถึงปีหน้าน่ะค่ะ สองแกลลอนนี้ ส่วนคอนดิชั่นเนอร์ (จะเรียกครีมนวดแล้วกลัวคนไม่เข้าใจ?) ก็ใช้ Treseme ธรรมดา ราคาไม่แพง และก็จะมีพวกโลชั่นใส่ปลายผมนิดหน่อย ของ neutrogena ขวดเล็กแต่ใช้นานมาก ๆๆๆค่ะ ส่วนอีกสองตัวเป็นของ John Freeda ก็ซื้อมานานแล้วล่ะ แต่ไม่หมดเสียที พี่ปรุ้ยแนะนำมาอีกทีเหมือนกัน
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

อ่ะ สุดท้ายแล้วจริง ๆ ค่ะ มาถึงเรื่องของผิวตัวบ้าง เปลี่ยนไปเรื่อยเลยจริง ๆ ครีมมอาบน้ำ ใช้ตั้งกะตามสโตร์ทั่วไป ยัน B&BW แต่ตอนนี้มาชอบตัวนี้อ่ะ Ahava หอมอ่อน ๆ ดี ใช้ได้นาน เพราะไม่มีใครช่วยใช้ สองพ่อลูกนั่นเค้าใช้ของ St.Ives เค้าชอบมากกว่าเพราะว่ามันหอมดี บางทีอารมณ์ดี ก็จะนอนแช่ตัว milk bath ของ Crabtree ไปด้วย หอมกลิ่นนมแพะ ผ่อนคลายดีเหมือนกันค่ะ สองตัวนี้ซื้อจาก TJMaxx อยากลองดู ไม่รู้ราคาเต็มเท่าไรอ่ะ ซื้อมาขวดละ 9.99 เป็นนมแพะขวดนึง และอีกขวดเป็น massage oil
ส่วนโลชั่นทาผิว ตอนนี้ ท้องป่องอ่ะค่ะ ตัวหลักเลยก็ massage cream ของ Palmers ทานวดกันขาแตก พุงแตก ตามที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ แนะนำกันมา ท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว ใช้มา 4 ขวดกับหนึ่งหลอดแล้ว ก็ยังเห็นรอยแตกของแผ่นดินตรงแถว ๆ ขาอยู่ (อันนั้นไม่เกี่ยวกับท้อง ครือเมริงอ้วนอ่ะค่ะ)
และก็จะมี ตัวกระชับ หรือลดเซลลูไลท์ของ Lancome กับ Clarins ตัวของลังโคมนี่ซื้อมาขวดที่สองแล้ว ก็ยังเห็นขาเป็นฟองน้ำอยู่นั่นแหละ ถามว่าจะต่อมั้ย ก็คงขึ้นอยู่กับตังค์ในกระเป๋า เพราะกว่าจะหมด ลูกก็คงคลอดแล้ว ณ ตอนนั้นก็คงไปหมดกับลูกหมด ส่วนคลาแรงส์ นี่ใช้แล้วเย็น ๆ แต่ยังไม่รู้สึกอะไร จริง ๆ คือใช้ไปไม่กี่ที เพราะขี้เกียจน่ะค่ะ กว่าจะได้กลับมาใช้อีกที สงสัยมันคงจะหมดอายุ ซะก่อน

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

อ่ะ ก็หมดแล้วสำหรับเครื่องประทินผิว ตั้งกะหัวจรดเท้า บล็อกหน้า ถ้าไม่ขี้เกียจซะก่อน ก็คงจะเป็นรีวิวเมคอัพน่ะค่ะ ทั้งของเก่า ของใหม่ และที่ยังไม่ได้ใช้ ไม่รู้ว่า เมื่อไรจะหมดเหมือนกัน แล้วยังไงก็ตามไปดู.....กันนะคะ (ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่กับใคร ถ้าหากเรารู้ เราจะตามไปดู เอ่อ เสี่ยวแดกฮ่ะ.... จำกันได้เป่า รายการตามไปดู ของหมอซ้งอะไรนั่นอ่ะ แง้ว

Saturday, September 15, 2007

เฉลยค่า

ไปแอบเล่นเกมส์ ทายเพศในบอร์ดอังเคิลแซมมา อิอิ มีคนถูกแล้วด้วย (ก็งั้นดิ ก็ทายกันทั้งสองเพศง่ะ อิอิ)
ไปทำมาร่วมครึ่งช.ม. นะคะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่แปลกดีเหมือนกัน ราคาไม่แบ๊ดเลย ได้ทั้ง DVD, CD file ภาพ และก็ back up VHS แล้วก็ภาพอีกสองเซ็ท คมชัดมากด้วย แต่ที่สำคัญ คือได้เห็นกันแล้วว่าหนูไม่มีกระปู๋

สรุปว่าหนูเป็นเด็กหญิงนะคะ ยอมรับว่าตอนแรกรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย เพราะมั่นใจมาก ๆ เลยว่าจะได้ผู้ชาย แต่ก็แค่แป๊บเดียว ยิ่งตอนนี้ยิ่งตื่นเต้นแล้วที่เป็นผู้หญิง (จิมแอบเศร้านิดนึง แล้วก็มาแหย่เราว่า โอ๋ ๆๆๆ ฮันนี่ อย่าเสียใจไป พูดอยู่นั่น จนเราต้องตวาดไปว่า ให้หยุดพูดได้แล้ว เด๋วลูกเสียใจ เพราะเค้ารับรู้)

ตอนนี้โลกของเราก็กำลังเป็นสีส้ม ชมพูอ่ะค่ะ กลับมาบ้านก็คิด ๆ ว่า จะให้ชื่ออะไรดีน้า แต่ชื่อจริงยังไม่สรุป ได้แต่ชื่อเล่น


หนูชื่อน้องคิ้วท์ นะคะ (cute) แล้วอีกไม่กี่เดือนหนูก็จะได้เจอหน้าคุณแม่ กับแด๊ดดี้แล้วนะคะ

Friday, September 07, 2007

อัลตร้าซาวด์รอบสองพร้อมตรวจน้ำตาล

ตอนแรกว่าจะอัพเดทเรื่องงานวันเกิดจิม แต่ดันมีอะไรให้ไม่สบายใจนิดหน่อย เลยข้ามไปดีกว่า และก็มาอัพเรื่องเบบี้ต่อ

เมื่อวานนี้ไปทำอัลตร้าซาวด์รอบสองมาค่ะ พร้อมกับตรวจน้ำตาลไปพร้อมกัน
วันนั้น เรามีอาการไม่ค่อยดี เนื่องจากท้องเสียมาได้สองวันแล้ว จากการกินน้ำพริกแจ่วที่ทำกินเอง (อยากมาก ๆ ) คิดว่าเป็นเพราะกินเผ็ด เลยทำให้ท้องเสีย แต่เราไม่ได้ทำเผ็ดมากเลยนะ เพราะรู้ว่า กินเผ็ดทีไรจะท้องเสียทุกที
ตื่นมาตอนเช้า ก็เตรียมตัวไปทำงาน ด้วยความที่ท้องเสีย เลยไม่กล้ากินอะไรมาก เลยคว้ากล้วยหอมมากินหนึ่งลูก คิดว่าจะช่วย แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ประปราย แล้วเราก็จิบเกเตอร์เรท เรื่อย ๆ ตลอดวัน ไม่อยากให้ดีไฮเดรท พอเสร็จงาน กลับมาบ้าน ก็ต้มไข่กินไปสองฟอง แล้วก็เอนหลังหน่อย เสร็จแล้วก็มาออนไลน์ คุยกับฝน ณ ฮอลแลนด์ และก็พี่ปุ้ยนิดหน่อย จนได้เวลาเดินทางไปพบหมอ (2.30 pm เวลานัด บ่ายสามโมง)

จิมมารับที่บ้านแล้วก็ไปออฟฟิศหมอพร้อม ๆ กัน แต่คราวนี้เราไม่ได้ไปที่เดิม ที่เคยไป เพราะออฟฟิศที่เราไปพบหมอทุกที จะไม่มีเครื่องอัลตร้าซาวด์ เลยเปลี่ยนเป็นอีกที่ ที่ใกล้บ้านกว่า และก็ติดกับโรงพยาบาลที่เราจะคลอดด้วย
ถึงแม้จะมีอาการไม่ค่อยดี แต่เราก็ค่อนข้างร่าเริง ด้วยความที่อยากให้ถึงวันนี้เร็ว ๆ ตื่นเต้น จะได้เห็นซะทีว่าลูกเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย และก็ตื่นเต้นเรื่องผลตรวจน้ำตาลด้วย

ไปถึงออฟฟิศก่อนเวลาเล็กน้อย ก็ไปติดต่อ แล้วก็ได้เอกสารมากรอกนิดหน่อย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้ กลูโคล่า (เป็นเครื่องดื่มกลูโคส ที่ว่าที่คุณแม่จะต้องดื่มก่อนตรวจน้ำตาล) เราก็เอามาดื่ม (รสชาติไม่แบ๊ดเหมือนที่ใคร ๆ ว่าเลย แอบบาดคอเล็ก ๆ แต่โอเคค่ะ) และดื่มหมดภายในเวลา 7 นาทีโดยประมาณ (เครื่องดื่มกลูโคสนี่ต้องดื่มให้หมดภายในเวลา 5-10 นาที) จากนั้นเราก็แจ้งเจ้าหน้าที่ แล้วก็นั่งรอต่อไป อีกไม่ถึง 20 นาทีต่อมา ก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียกเข้าห้อง เราสองคนก็ไป

พอถึง เจ้าหน้าที่คนเดิม ก็บอกให้เราไปเก็บฉี่ เหมือนทุกครั้งที่ไปพบหมอ ก็จะต้องเก็บฉี่เพื่อตรวจนู่นนี่ จากนั้นเราก็กลับมารอหมอในห้องตามเดิม ผ่านไปสิบนาที ก็ยังไม่เห็นหมอเดินมา แต่เราก็ไม่ซีเรียส นั่งคุยกับจิมไปปกติ ในใจก็จดจ่ออยู่กับเรื่อง จะได้อัลตร้าซาวด์ และเวลาก็ผ่านไปอีกสิบนาทีได้ เจ้าหน้าที่ก็เดินมาวัดความดัน แล้วก็บอกว่า alittle bit high but don't worry its just because of glucose เราก็ไม่ได้อะไร

จากนั้นจิมก็บอกเจ้าหน้าที่ว่า วันนี้หมอจะทำอัลตร้าซาวด์อีกรอบให้เราใช่มั้ย เค้าก็อ้าวเหรอ ๆ แล้วก็เดินออกไปถามหมอ คุณหมอก็เดินตาลีตาเหลือกเข้ามา ถามว่า วันนี้เรามีนัดทำอัลตร้าซาวด์กันเหรอ เราก็บอกใช่ หมอเป็นคนบอกเอง หมอบอกจำได้ แต่ว่าแค่ดูเพศเบบี้ไม่ใช่เหรอ เราก็อืม ใช่ เค้าก็เลยบอกว่า ก็นั่นน่ะสิ แค่ดูเพศเบบี้ ไม่จำเป็นต้องทำฟูลอัลตร้าซาวด์ จากนั้น หมอออกไปเตรียมอะไรซักอย่าง แล้วกลับมาพร้อม กับเครื่องอัลตร้าซาวด์ แต่ ณ เวลานั้นเราบอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่ารู้สึกยังไง แต่ดูเหมือนหมอไม่ค่อยอยากทำให้ หรือว่าแกรีบยังไงก็ไม่รู้ เสร็จแล้วหมอก็ดึงที่รองขาออก แล้วให้เราเอนนอนบนเตียง เพราะจะทำอัลตร้าซาวด์ให้ แล้วเราสองคนก็ได้เห็นหน้าลูกอีกครั้ง ตาเราก็จ้องหน้าจอตลอด ฟังหมอบรรยายไปด้วย ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่ข่าวดีคือ ตอนนี้เบบี้กลับหัวเรียบร้อยแล้ว ขามาอยู่ใต้เสื้อในเราเลยล่ะ หัวก็อยู่ในที่ที่ควรอยู่ แต่ข่าวร้ายคือ ไม่สามารถเห็นเพศของลูกได้เหมือนเดิม คือท่าที่เค้านอนเนี่ย ทำให้มองไม่เห็นเพศ แต่ที่ทำให้เราเศร้าไปกว่านั้น คืออย่างที่บอกว่า ดูเหมือนหมอรีบ ๆ ทำให้เสร็จตั้งแต่แรกน่ะ เพียงแค่ไม่ถึงห้านาที หมอก็บอกว่า sorry guys, we can't find out เรารู้สึกว่า หมอยังไม่พยายามอะไรเลย แค่กลิ้ง ๆ ไอ้เครื่องมือไปมาไม่นาน หมอก็หยุดแล้ว

เราสองคนก็เศร้าไปตามระเบียบ โดยเฉพาะเรา ไม่อยากจะคุยอะไรอีกเลย จากนั้น หมอก็มาวัดหน้าท้อง ว่าขนาดปกติมั้ย เสร็จแล้วก็ถามว่า is everything ok? any question? อะไรทำนองเนียะ เราก็ตั้งใจจะบันทึกว่า ตอนนี้ลูกเราน้ำหนักเท่าไร กว้างยาวเท่าไรแล้ว ก็เลยถามหมอ แต่คำตอบที่ได้มาคือ Oh! don't worry everything is fine!!! เราก็อ้าว แล้วก็มองหน้าจิม หมอเลยบอกว่า ur baby is in perfect size อะไรทำนองนั้น แล้วก็ปิดการสนทนา เรายังอ้าปากค้างอยู่เลย คือมีคำถามอยากจะถามอีกเยอะแยะ เลยไม่ได้ถาม แต่ก็มาคิดเองว่าทำไมหมอเค้ารีบอะไรนักหนา เราเสียเงินมา ให้เวลาเราแค่นี้เองเหรอ เราถามอะไรก็ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ พอออกมาจากห้องหมอ หมอก็บอกเพิ่มเติมว่า เราต้องกลับไปเทคยาตัวเดิมนะ (antibiotic ตัวเดิม ที่เรากินแล้วทำอะไรไม่ได้เลยน่ะค่ะ หมอให้เหตุผลว่า ตัวที่เปลี่ยนให้ ยูเทคแล้ว ยังมีอินเฟคอยู่ เลยต้องกินตัวนั้น) โอ้ย ๆ เลยกลายเป็นดีเพรสไปใหญ่เลย แต่ก็ต้องทำ เพราะหมอสั่ง พอเสร็จก็กลับบ้าน

พอเดินออกจากออฟฟิศหมอ เราเริ่มพูดเลยว่า เราไม่แฮปปี้มาก ๆ กับการเร่งรีบของหมอวันนี้ จิมก็เห็นด้วย แล้วก็บ่นกันมาตลอดทางในรถ ว่าทำไมหมอแย่อย่างนี้วันนี้ เราไม่เคยรู้สึกคอมฟอร์ทเทเบิลกับหมอคนนี้เลยตั้งแต่วันแรกที่ไปหา รู้สึกตลอดว่า เค้าเหมือนรีบ ๆ ตลอด แต่เหตุการณ์วันนี้ เราถือว่าแย่ที่สุด :( จิมคงเห็นว่าเราดีเพรสสุด ๆ เลย พาไปดินเนอร์ที่ cheese cake factory เราไม่ได้กินอะไรมาก สั่งแค่แอพฯ ไปสองอย่าง (นี่คือไม่ได้กินมากนะ ฮา ๆๆๆ) แต่ก็กินไม่หมดนั่นแหละ ต้องแพ็คกลับมาบ้านด้วย แล้วก็ต่อด้วย white chocolate rasberry truffle มากินต่อในรถหนึ่งชิ้น เป็นอันดีขึ้นหน่อยนึง

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าผลน้ำตาลเป็นยังไง เจ้าหน้าที่บอกว่า ถ้ามีปัญหาอะไร จะติดต่อมา แต่ก็ไม่เห็นติดต่อกลับมา เลยเดาว่าปกติ หรือผลอาจจะยังไม่ออก? ก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่ภาวนาให้เป็นปกติทุกอย่าง ส่วนเรื่องเพศของลูกนี่ ก็คงจะได้ลุ้นไปยันคลอดเลยล่ะนะคะ ไม่ซีเรียสแล้ว ส่วนเรื่องหมอนี่ เด๋ววันนี้จะคุยกับจิม ว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนยังไง เล่าให้เพื่อนร่วมงานคนที่ท้องเหมือนกัน เค้าก็ให้เบอร์หมอของเค้ามา เจ้านายก็ให้กำลังใจว่า หมออาจจะเจอรัฟเดย์มาทั้งวัน เราก็อ้าว แต่ก็ไม่ควรที่จะมาทำอย่างนี้กับเราซึ่งเป็นคนไข้ของเค้านี่นา เห้อ แล้วยังไง จะมาอัพเดทเพิ่มเติมละกันค่ะ

Saturday, August 25, 2007

มาดูกันดีกว่า ว่าเตรียมอะไรไว้ให้เบบี้บ้างแล้ว

เหะ เหะ เพิ่งจะ 25 weeks เอง แต่อิฉันเตรียมข้าวของไว้สำหรับเบบี้น้อยแล้วล่ะค่ะ จะว่าเห่อก็เห่อ จะว่าตื่นเต้นก็ตื่นเต้น เตรียมจนจิมต้องบอกให้พอก่อน จะไม่เหลือให้คนอื่นซื้อให้ในเบบี้ชาวเวอร์เลยเหรอ เราก็แหม ๆ อย่างกับจะจัดให้งั้นแหละ แต่ก็เชื่อเค้าน่ะนะคะ คงพอเท่านี้ก่อน เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเตรียมก่อนที่เบบี้จะเกิดพอแล้ว ที่เหลือค่อยว่ากันใหม่

อย่างแรกก็คงต้องเป็น Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
จริง ๆ Travel System เซ็ทนี้ ถ้าซื้อคู่กันเลย ร่วม $300 อ่ะ แต่พอดีเลือดงกมันท่วมอก อิอิ เลยเสริชหา แล้วได้แบบแยกขายมาที่เซ็ทนี้ แค่ $200 นิด ๆ เอง หุหุ ภูมิใจมากฮ่ะ

อย่างที่สองก็คงเป็น Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
อันนี้ก็ซื้อตามเพื่อน แต่ไม่รู้ว่าสีเดียวกันรึเปล่า ตอนแรกว่าจะซื้อเป็น Mini Co-sleeper เพราะดูของจริงแล้วก็อืมโอเคแฮะ แต่พอดีเพื่อนปูแนะนำมาว่า ตัว Original ใหญ่กว่านะ แต่แพงกว่าไม่เท่าไร เราก็อืม ๆ มาเสริชหาจากกูเกิ้น อีกเช่นกัน แล้วก็ได้มาในราคาที่แจ่มมั่ก ๆ ถูกกว่าซื้อจากเวบ Arm's Reach เองซะอีก หุหุหุ อีกหนึ่งความภาคภูมิใจ (ถ้าเกิดผลอัลตร้าซาวด์คราวหน้า เป็นผู้หญิงล่ะก็ หุหุหุ ลูกอิชั้นคงจะสมน้ำหน้าแม่มันแน่ ๆ เลย ทั้งงกและก็เลือกแต่สีสำหรับเด็กผู้ชาย เหอ เหอ)

อย่างที่สาม Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ตัวนี้เป็น Carrier Baby Bjorn ตัวนี้เป็นฟ้าใช้ เลยคุย ๆ กัน ฟ้าก็เรคคอมเม้นท์มากว่าตัวนี้ดีนะ ซัพพอร์ทหลังด้วย แต่เหอ เหอ จริง ๆ ยังไม่ต้องเตรียมก็ได้ เพราะกว่าจะได้ใช้ก็นู่น ลูกเข้าเดือนที่สองที่สามไปแล้วมังคะ แต่ด้วยความที่ พอคุยแล้วความอยากบรรเจิด บวกกับ เข้าไปดูในอีเบย์ ได้มาแบบ buy it now ที่ $89 (รวมค่าส่งแล้วนะ) ถูกกว่าทาร์เก็ต หรือเบบี้อาร์อัส ตั้ง $30 แล้วสีเขียวสวยมาก เข้าคอนเซปต์อิชั้นพอดีเลย

อย่างที่สี่ Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket เหอ เหอ บางคนคงงงว่า เอ่อ จะรีบซื้อไปหาใครเหรอคะ หรือว่ากลัวเงินบูด? ก็จริง ๆ แล้ว กลัวว่าโปรโมชั่นที่เค้าลดราคาทางเวบฯ ที่โพสต์ไว้ในเวบบอร์ด อังเคิลแซม จะหมดซะก่อน เลยไหน ๆ ก็ตั้งใจจะซื้อแล้ว ก็ซื้อมันซะเลยละกัน (เอ่อ 3 more months to go ค่ะ เห่อไปมั้ยเนี่ย)

อย่างที่ห้าและหกนี่ ซื้อคู่กัน อย่างที่เคยบอกว่า ของบางอย่างที่จะไม่สัมผัสกับตัวลูกน้อย หรือตัวเรา จะพยายามหา used จากทางอีเบย์หรือที่ไหนก็ตาม แล้วเครื่อง sterizer and bottle warmer นี่ก็แค่อุ่นขวดนม กับอาหารเหลว และสเตอริไลส์ขวดนม เราเลยได้มาจากอีเบย์ ในราคาที่ถูกกว่าราคาเต็มกว่าครึ่งนึงเลย อีกหนึ่งความภาคภูมิใจ อิอิ
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ที่ซื้อเองทั้งหมดนี้ก็ถือว่าโอเคในขั้นตอนการเตรียม ณ ตอนนี้ จริง ๆ ยังมีของที่คนอื่นให้มาและก็ของเก่าของเจ้าคิมที่ยังใช้ได้ เช่น baby bath tub ที่แฟนน้องสาวจิมให้มา และก็ของเก่าของคิม ก็มี baby changing table และก็ play pen
ตัว changing table เป็นสีขาว ยังสภาพดีอยู่เลย เราเลยว่าจะดูคริบส์เป็นสีขาวไว้ด้วย แต่คงยังไม่ได้ซื้อจนกว่าลูกจะ อายุหกเดือนนู่นแน่ะ ตอนนี้ก็คงเป็นช่วงเก็บเงินกันไป แล้วไว้มีอะไรมาอัพเดตเพิ่มแล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่นะคะ

ปล: ตอนนี้อัพบล็อกแต่ละทีจะเป็นเรื่องลูกทั้งนั้นเลยอ่ะ อยากจะอัพเดทช็อปปิ้งของตัวเองมั่ง เด๋วนี้คิดว่า ไร้สาระไปซะแล้ว ฮา ๆๆๆ ให้มันได้งี้สิ จริง ๆ ว่าจะอัพฯเรื่องสมาชิกใหม่ในบ้าน (ไม่ใช่เบบี้นะ) ด้วย แต่ไว้อัพฯ ตอนช่วงวันเกิดจิมดีกว่า

Tuesday, July 31, 2007

หน้าไม่ให้แต่ใจรัก?

มาส่งการบ้านเพื่อนปุ๊ก หัวข้อแถ่ก "หน้าไม่ให้แต่ใจรัก" แล้วไอ้หน้าอย่างเรานี่มีอะไรที่ไม่เข้ากับบุคลิกบ้างล่ะเนี่ย มาดูกันค่ะ

เห็นหน้าหวาน ๆ อย่างเงียะ (เอ่อ ที่พูดนี่อายมั้ย? ฮา ๆๆๆ) จริง ๆ เห็นหน้าถึก ๆ เงียะ เซ้นซิทีฟมาก ๆ เลยล่ะ

เป็นคนขี้น้อยใจ ขี้ใจน้อย อะไรนิดหน่อยสะเทือนใจล่ะก็ เอ่อเลยค่ะ น้ำตาเอ่อเลย ดูละคร ดูหนัง หรือฟังเรื่องราวอะไรที่เศร้า ๆ เอาแล้วครับ ต้องเบือนหน้าหนี เพราะกลัวคนเห็นแล้วจะเสียเซล์ฟ เคยเห็นหมาถูกรถชนต่อหน้าต่อตา ระหว่างเดินไปทำธุระที่เขต เห็นแล้วสั่นมาก ไปทำธุระไม่รู้เรื่องเลย คุยกับเจ้าหน้าที่ก็เสียงสั่น เค้าคงคิดว่ายัยนี่ต้องญาติเสียแน่ ๆ พอเสร็จธุระ ก็รีบวิ่งกลับมาบ้าน เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ จะไปพาเจ้าหมาไปโรงบาล ปรากฏว่า เจ้าหมาตัวนั้นไปแอบนอนตายข้างถนน คงเจ็บมาก เดินกลับบ้านมาร้องไห้หนักมาก น้องชายตกใจเดินมาถามใหญ่ พี่โอ๋เป็นอะไร ใครทำอะไร บอกมานะ ทั้งแม่ทั้งน้องตกใจ พอเล่าได้ ว่าเห็นหมาตายแต่ช่วยไม่ทัน โดนด่าเลย ทำให้เค้าตกใจ แง๊ว :(

เห็นตัวใหญ่ ๆ แบบเนียะ โค ตะ ระ ขี้กลัวเลยค่ะ

ที่ไม่ระบุในหัวข้อว่ากลัวอะไร เพราะกลัวหลายอย่างมาก กลัวผี กลัวความสูง กลัวสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด กิ้งกือ ตะขาบ เห็นแล้วหงิกเลย กลัวมาก ๆ เลย พอมาอยู่เมกา ไม่ค่อยมีกิ้งกือให้เห็น ก็คิดว่าโอเค โชคดีแล้ว แต่อิอิ ไม่ได้มีบุญขนาดดดน้านค่ะ รู้จักตัวนี้กันมั้ยเอ่ย เซนเตพีซ ที่มีขาเป็นร้อย ๆ ขาอ่ะค่ะ (ไม่รู้ภาษาอังกฤษสะกดไงนะคะ) โหย เห็นนี่แทบแย่เลยนะ มีอยู่คืนนึง เข้าห้องน้ำข้างล่าง ตอนเที่ยงคืนกว่าแล้ว ก็ไม่คิดอะไร ยังไม่ทันสั่นเลย (เวลาบอกยังไม่สั่นนี่น่าจะเข้าใจ ถ้าอ่านบล็อกที่แล้ว ว่ากำลังทำอะไรอยู่ อิอิ) โหย เดินมาจากไหนไม่รู้อ่ะ ค่อย ๆ คลานมา โหย ขนหัวลุกเลย จิมก็หลับแล้ว จะปลุกให้มาจัดการก็กระไรอยู่ เราก็หงิกในห้องน้ำคนเดียวเนี่ยแหละ ที่ว่าหงิกนี่คือ มือไม้จะหงิก ๆ อ่ะ ค่ะ แบบมันขนลุกไปหมด ค่อย ๆ เอามือเอื้อมเปิดประตู แล้วก็ปีน ๆ ป่าย ๆ ออกจากห้องน้ำ (ที่ไม่เดินปกติ เพราะจินตนาการสูงมาก ว่าถ้าเดินออกไปดี ๆ มันจะวิ่งมาใส่ คือมันกลัวน่ะ) พอออกไปได้ ทำไงล่ะ วิ่งไปหยิบเครื่องดูดฝุ่นมา เสียบปลั๊กดูดเลย ก่อนดูดก็กล่าวคำขอโทษ ว่าไม่อยากฆ่าแต่ฉันกลัวเทอมากน่ะ พอจัดการเสร็จ กำลังจะเก็บ เหลือบไปเห็นตัวที่สอง โหย ๆ มันมาเป็นครอบครัวเลย ไม่เอาแล้ว ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ แล้วก็วิ่งขึ้นห้องไปเลย นึกแล้วยังขนลุก

เห็นหน้าตางี้ ไม่ชอบเด็กเอาซะเลยล่ะ

จริง ๆ ไม่ได้เกลียดเด็กหรืออะไรนะคะ แต่ว่า ไม่สามารถอยู่กับเด็กได้นาน จริง ๆ ก็ชอบเล่นกับเด็กนะ น่ารักดี แต่ได้ไม่นานน่ะค่ะ ถ้าแบบให้อยู่ด้วยเลย เหอ เหอ มะอาวอ่ะ ทนเด็กไม่ได้ สอนเด็กไม่เป็น ยิ่งเด็กดื้อ ๆ นะ โหย ไปไกล ๆ เลย มาอยู่ใกล้ ๆ จินตนาการอิฉันจะบรรเจิดมาก ว่าถ้าไม่หยุดดื้อฉันจะโบ้แกละนะ แต่ก็ไม่เคยทำหรอก มีแต่ตอนเด็ก ๆ เนี่ยแหละ เท่าที่จำได้ ว่าตอนเด็ก ๆ เราจะเกลียดเด็กมาก เคยแอบหยิกเด็กที่เดินสวนกัน แล้วเห็นเค้าร้องไห้ขี้มูกโป่งอ่ะ อาการโรคจิตเลยออก สวนปุ๊บ หยิกปั๊บ แล้วก็วิ่งหนีเลย (เอ่อ คือ เด็กประมาณไม่เกินป.6 นะคะ ตอนนี้ไม่เป็นแล้ว เหะ เหะ)

หน้าเงียะน่ะนะ จะรักสวยรักงาม? เออ ก็หน้าเงียะน่ะแหละ

ไม่รู้ว่าเริ่มเมื่อไรเหมือนกันนะคะ รักสวยรักงามเนี่ย แต่จำได้ว่าของเล่นสมัยเด็ก ๆ ที่เล่นแล้วมีความสุขที่สุดก็คือ ได้ขโมยเครื่องสำอางน้าเล่น อู๊ย สุขมาก ๆ ชอบที่จะลองแต่ง เห็นคนนั้นคนนี้เค้าแต่งสวย ก็เอาละ น้ามีกระเป๋าเครื่องสำอางใบใหญ่ใบนึง เราก็เล่นตอนเค้าไปทำงานเนี่ยแหละ ทาตา แก้ม รองพ้งรองพื้น แต่แต่งไม่เป็นหรอกค่ะ เสร็จแล้วก็ให้ทุเรศใจ เหมือนงิ้วน่ะ ความชอบความอยากมันมีมาตั้งแต่เด็กน่ะนะ แต่ก็ไม่ได้มีใครสอนว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้นะ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองตลอด แต่ก่อนขอเงินพ่อแม่ จะซื้ออะไรก็เก็บหอมรอมริบเอาล่ะค่ะ ซื้อแป้งพับ ซื้อลิปมัน ลิปสติก มาสคาร่า พอมีรายได้เป็นของตัวเอง เลยกระหน่ำเลย

เห็นหน้าเหี้ยม ๆ เงียะ ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่ดูดนะคะ

เป็นคนที่ชอบสนุก ชอบหัวเราะเฮฮากะเพื่อน ๆ ไร้สาระไปวัน ๆ แต่จะไม่ชอบเที่ยวกลางคืน (ผับ เทค บาร์) ไรเงียะ เป็นคนชอบฟังเพลงมากนะคะ แต่ว่าไม่ชอบไปเที่ยวกลางคืนเพราะหนวกหู ทนกลิ่นควันบุหรี่ไม่ได้ เคยไปแล้วคนสูบกันเยอะ หายใจไม่ออกเลย
ไม่ดื่ม อันนี้คือไม่ดื่มจริง ๆ เคยลองนะคะ แต่ทำยังไงก็ไม่ชอบน่ะ มันขม ไม่อร่อย เคยคิดว่ามีเครื่องดื่มอยู่สองตัวที่ดื่มได้คือ คาลัวร์ กับเบย์ลี่ เหอ เหอ จิมซื้อมาไว้ที่บ้านขวดนึง ผสมให้ นั่งฉลองกันตอนปีใหม่ ตอนเค้าน์ดาวน์ แค่แก้วเดียวนั่นแหละค่ะ จิบมันไปเหอะ ไม่หมดซะที สรุป ไม่ถึงครึ่งแก้วเท่านั้นอ่ะ ไม่เอาแล้ว
ไม่ดูด ไม่กล้าลองอ่ะค่ะ กลัวว่าจะติด ไม่รู้พวกที่ติดบุหรี่ทั้งหลายนี่ จะเริ่มจากการลองแล้วติดใจรึเปล่า เลยกลัว เพื่อนสมัยสวนดุสิต เคยยื่นให้ลอง เราก็ลองแหละ แต่ไม่ดูดนะ เป่า เอามาคาบไว้แล้วเป่า ไอ้ขี้บุหรี่พร้อมไฟก็หล่นลงกระโปรงตัวงาม ไหม้ค่ะ เป็นที่เฮฮาของเพื่อน ๆ มาก

เห้อ กว่าจะเขียนเสร็จ นึกตั้งนาน ว่าตัวเรานี่มีอะไรบ้างน้า แต่สุดท้ายก็เสร็จแล้วนะจ๊ะปุ๊ก มาตรวจการบ้านด้วยละกัน แต่คงไม่ส่งต่อละ เพราะเค้าคงเล่นกันไปหมดแล้วล่ะเนอะ

Thursday, July 19, 2007

แล้วจะงอขาทำไมล่ะลูกเอ๊ย

เมื่อถึงกำหนดอัลตร้าซาวด์ดูเพศของคุณลูก (เมื่อวันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา) อิชั้นก็แอบตื่นเต้นพอสมควร เพราะจะได้รู้ซักทีว่า เบบี้เพศอะไร แต่ก่อนจะถึงวันนัด ก็เตือนตัวเองตลอดเลย ว่าห้ามทาโลชั่นที่ท้องนะ สองวัน ไอ้เรากลัวลืม เลยไม่ทาเลยทั้งอาทิตย์ ฮา ๆๆๆ (กลัวลืมจัด)

ตอนโทรไปนัดวันและเวลาทำอัลตร้าซาวด์ ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ให้ดื่มน้ำ 40 oz เริ่มต้นที่เวลา 4:00 สิ้นสุดที่ 4.20 (เวลานัดอัลตร้าซาวด์ตอน 5 โมง)ตอนนั้นก็แค่จด ๆ รายละเอียดไว้ (กลัวลืมอีกนั่นล่ะค่ะ)

แต่พอถึงวันนัดจริง ๆ ด้วยความที่เราเคยเป็นไตอักเสบมาก่อน ที่เข้าโรงบาลไปเมื่อตอนท้องช่วงสามเดือนแรก เลยทำให้อั้นฉี่ไม่ค่อยได้ แล้วคิดดูนะคะ ดื่มน้ำ 40 oz ภายในเวลายี่สิบนาที แล้วห้ามฉี่อีกเลยจนกว่าจะทำอัลตร้าซาวด์เสร็จ เราก็ค่อย ๆ จิบน้ำไปน่ะ กลัวว่าถ้าซัดโฮกไปทีเดียว จะยิ่งทำให้อยากเข้าห้องน้ำเข้าไปใหญ่ พอดื่มน้ำหมด จิมก็กลับมาถึงพอดี เลยบอกเค้าว่า ให้ออกไปกันเลยดีกว่า ไปถึงก่อนเวลาหน่อย กรอกเอกสารเสร็จเผื่อจะได้ซาวด์เลย

แต่สวรรค์ไม่ได้มีตาขนาดนั้นค่ะ เราสองคนไปถึงประมาณ 4:40 ก็กรอกเอกสารอะไรเสร็จ มานั่งรอ แต่คนที่มารอก่อนหน้าเราเนี่ย เกือบสิบคนแล้ว ณ ขณะนั้น กระเพาะปัสสาวะอิฉันเริ่มทำงานหนัก รู้สึกว่าเหมือนเขื่อนกำลังแตก กักน้ำไว้จะไม่อยู่อยู่แล้ว นั่งสั่นขา รอจนถึงห้าโมง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเราจะได้เรียกซักที เลยกระซิบบอกจิม (ด้วยหน้าหงิกที่สุดในโลก) บอกเค้าว่า ไอดื่มน้ำมาสี่สิบเอ๊านซ์ ก่อนมาเนี่ย แล้วเค้าห้ามเข้าห้องน้ำเลย จนกว่าจะเสร็จ ไม่รู้ว่าจะได้เรียกเมื่อไร จิมก็ทำหน้าตกใจ เพราะเค้าไม่รู้ว่าเราต้องทำอย่างนั้นด้วย เลยเดินไปจ้ำจี้เจ้าหน้าที่ให้

จากนั้นประมาณอีกสิบนาทีถึงยี่สิบนาทีผ่านไป ก็มีเจ้าหน้าที่ผิวสี มาเรียกชื่อที่ ณ ขณะนั้น ฟังแล้วเพราะจับใจที่สุดในโลก แต่ว่าอิชั้นเขื่อนจะแตกแล้วอ่ะ กว่าจะลุกได้นี่ต้องมีพยุงเลยนะ จิมก็ถามว่าจะเอารถเข็นมั้ย เราก็บอกไม่เป็นไร ค่อย ๆ กระดื๊บเอาละกัน
ในระหว่างที่เดินไป ก็ถามเจ้าหน้าที่ว่า ชั้นจะต้องรอจนกว่าจะซาวด์เสร็จเลยเหรอ ถึงจะเข้าห้องน้ำได้เนี่ย ชั้นไม่ไหวแล้วนะ เค้าก็บอกว่า "the reason they need to measure the distance between the baby and the cervix" เราก็เอา ๆ เค้าเลยบอกให้ไปเปลี่ยนกาวน์ ก่อน แล้วไอจะทำการซาวด์คร่าว ๆ ทีแรก แล้วจะให้ยูไปเข้าห้องน้ำ แต่ห้ามปล่อยหมดนะ เราก็อ้าว คนมันปวดน่ะ จะให้ฉี่ครึ่งนึงแล้วอั้นที่เหลือยังไงฟระ แต่ก็เอาล่ะ พอเสร็จ แล้วเค้าก็ให้แก้วเรามาใบนึง ให้ฉี่แค่เต็มแก้ว (แก้วขนาดใส่โค้กขายอ่ะ) เราก็อู้ย สบาย แก้วบักเอ้ก พอเข้าห้องน้ำเท่านั้น นั่งปุ๊บ เอาแก้วรอง น้ำจากเขื่อนก็พุ่งออกมาจนแก้วหลุดจากมือ เท่านั้นอิชั้นก็คงไม่ฝ่าด่านไปคว้านเอาแก้วกลับมาถืออีกแล้วล่ะ ตามเรื่องตามราวเลยละกัน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยสุดถึงขนาดพอเสร็จแล้วสั่นหรอกนะ (นึกภาพออกเป่าคะ เวลาชิ้งฉ่องเสร็จ แล้วสุดจริง ๆ นี่จะสั่นนะ อิอิ) ก็อั้นที่เหลือไว้

พอเสร็จ ก็กลับไปนอนบนเตียงที่เดิม แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทำการซาวด์ต่อ และชมว่า good job ประมาณว่ายังเหลือฉี่ไว้ให้เห็นเป็นขวัญตาว่างั้นเหอะ จากนั้นก็มาต่อกันที่อัลตร้าซาวด์
จากครั้งนั้น (ครั้งแรกที่ซาวด์ไป ก็ตอนอายุครรภ์แค่ 8 weeks/6 days) จนถึงวันนี้ (19 weeks/4 days) ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปมาก เป็นตัวเป็นตนแล้ว มีแขนขา มีทุกอย่างครบแล้ว ดูไปจิมก็จับมือเราไปด้วย ก็ยิ้มให้กัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า everything seem to be perfect ความยาวของเบบี้อยู่ที่ 14 cm การเต้นของหัวใจอยู่ที่ 140 hb/m ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์เพอร์เฟค

ระหว่างดูเราก็ถามอยู่ตลอดว่า how about the baby's thing? did you see yet? เจ้าหน้าที่ก็ขำ แล้วก็บอกว่า เค้างอขาตลอดเลย ไม่ยอมให้เห็น แต่ก็ยังพยายามจะดูต่อไป ทีนี้ เจ้าหน้าที่เลยขอพักแล้วไปจัดการเรื่องเอกสาร แล้วจะกลับมาซาวด์ให้อีกรอบ เราก็บอกดีเลย เด๋วเราจะขอคุยกับลูกเราหน่อย ว่าทำไมถึงแกล้งไม่ยอมให้เห็น เค้าก็หัวเราะอีก (ระหว่างรอเจ้าหน้าที่กลับมา ก็มาดูภาพอัลตร้าซาวด์ที่ได้มาละกันนะคะ)
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

ได้มาสองภาพอ่ะค่ะ แต่เห็นภาพที่เหมือนกันเลย (จริง ๆ คงแค่คล้ายน่ะ ) ดูในรูป เหมือนเค้าเอามือเกาหัวเนอะ บางท่า ขณะที่ซาวด์นี่ เหมือนเค้ากำลังดูดนิ้วด้วยล่ะ (พี่สาวบอกว่า นี่ลูกแกจริง ๆ เลยนะเนี่ย เตรียมตัวกัดเล็บเหมือนแม่มันแล้ว)

พอเจ้าหน้าที่กลับมา ก็มาลองทำให้อีกรอบ ก็เหมือนเดิมค่ะ เค้าดิ้นไปมาตลอดเลย ทีแรกนอนแนวขวาง อีกทีหัวเบบี้ ไปอยู่ตำแหน่งหัวหน่าวของมามี้แล้ว เราก็โหย ลูกชั้น โชว์แด๊ดดี้มามี้ใหญ่เลยนะ แต่สุดท้ายแล้ว ยังไงก็ไม่เห็นว่าเบบี้เป็นเพศอะไรอ่ะค่ะ เพราะเค้างอขาตลอด ทั้ง ๆ ที่คุยกับเค้าแล้วนะ ก็ไม่ยอมให้เห็น เลยถอดใจกัน เจ้าหน้าที่ก็บอกไม่เป็นไรนะ ลุ้นเอา ตื่นเต้นดี เราก็เออ ออ แต่ว่าเซ็งกันทั้งพ่อแม่เลย

ทีนี้หมอนัดเดือนหน้า ก็จะถามคุณหมอล่ะว่า จะออเดอร์อัลตร้าซาวด์อีกมั้ย เห็นปู เพื่อนที่บอร์ดบอกว่าจะซาวด์อีกที ตอนช่วง 36 weeks ถ้างั้นก็ดี ป่านนั้น กระปู๋คงเป็นกระปู๋ กระปิ๋มก็คงเป็นกระปิ๋มละ แล้วยังไงมาลุ้นกันอีกทีนะค้า

Friday, July 13, 2007

with my baby's movement

ผ่านไปแล้วกับเรื่องคอนเสริตพี่จ้อน ก็ขอกลับมาหาเบบี้มั่งดีกว่า เพราะตอนนี้เริ่มเปิดเพลงให้เบบี้ฟังแล้ว หาอ่านจากหนังสือบ้าง จากเพื่อนแนะนำบ้าง และก็ที่เคยได้ยินมานานแล้วบ้างว่า เปิดเพลงแนวคลาสิคให้เบบี้ฟัง จะช่วยพัฒนาด้านสมอง ทำให้เด็กอารมณ์ดีและฉลาด เราก็เอ๊ะ แล้วจะเปิดเพลงให้เค้าฟังยังไงล่ะ แค่เปิดฟังก่อนนอนแค่นั้น หรือว่าเปิดเมื่ออยาก แล้วต้องเอาสปีคเกอร์มาใกล้ท้องรึเปล่า

ทีนี้เลยเริ่มมาหาเพิ่มขึ้น ก็เริ่มจากใกล้ตัวก่อน เพื่อนนี่เอง ก็ถามเพื่อน ๆ ที่มีลูกแล้ว หรือกำลังตั้งท้อง ว่าเปิดเพลงให้เบบี้ฟังบ้างมั้ย และทำยังไง บางคนบอกก็ฟังจากไอพอดเนี่ยแหละ ยัดหูฟังใส่กกน. ไปเลย ฮา ๆๆๆ เราฟังแล้วก็ขำ แต่ก็เป็นแนวทางที่น่าสน (สำหรับใช้คนเดียวหรือใช้ไอพอดร่วมกับสามี)

ทีนี้เรามาคุยกับจิม ว่าเค้ามีพวกอุปกรณ์หรือสปีคเกอร์ที่ใช้เปิดเพลงให้เบบี้ฟังสำหรับคนท้องมั้ย เค้าก็บอกมี เค้าจำได้ตอนไปที่นี่ ซื้อเสื้อผ้าสำหรับคนท้อง เค้าเห็นมีขายอยู่ เราก็คลิกเข้าไปดูว่าเป็นยังไง ราคาเท่าไร ปรากฏว่าราคาตั้ง $49 แน่ะ เราก็เอาไงดีฟระ เลยก๊อปปี้ชื่อมาเสริชหาในอีเบย์ ปรากฏว่ามีน้อยมาก ๆ และราคาก็ไม่ได้ถูกเลยสำหรับมือสอง เราก็เอาไงดีหว่า ยังอยากได้อยู่ เลยลองใส่ชื่อในกูเกิล ตัวแทนขายโผล่มาอื้อเลย เราเลยค่อย ๆ คลิกเข้าไปดู ทำให้เห็นว่า มีให้เลือกสองยี่ห้อ และสองแบบ คือแบบนึง มีหูฟังอันเดียว และอีกแบบมีหูฟังสองอัน

หาไปมา เลยไปเจอที่นี่ ด้วยราคาที่ถูกกว่าราคาทั่วไปถึง $10 แน่ะ คนงกอย่างอิชั้น มีหรือจะไม่สน เลยรีบปรี่กันไปซื้อกับจิมทันที ไปถึงก็เดินหา ๆ ในที่สุดก็ได้เจ้าตัวนี้มา ในราคา $39
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket
ตอนที่เราเสริชหาข้อมูล มีรีวิวใต้ผลิตภัณฑ์ด้วย เราก็เลยอ่าน ปรากฏว่า 9 ใน 10 บอกว่า worthless จิมเลยบอก งั้นไม่ต้องซื้อ แต่ว่าข้อมูลที่คนเข้ามารีวิวบอกว่าแย่ เค้าหมายถึงตัว Heart Listener เราก็อ้าว มันไม่ใช่เป้าหมายเรานี่นา เราอยากเปิดเพลงให้ลูกเราฟัง อยากพูดคุยกับเค้า ก็เลยไม่สนใจ เพราะต่อให้ใช้เสร็จ ยังไงเราก็ยังปล่อยขายในอีเบย์ได้อยู่ดี

ทีนี้มาดูกันค่ะ ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีอะไรบ้าง จะคุ้มค่าคุ้มราคามั้ย
- Prenatal heart listener (ไม่ได้ถ่ายภาพแยกมานะคะ แต่ถ้าดูจากในรูป จะเป็นตัวที่คุณพ่อเอาวางทาบบนท้องคุณแม่นั่นแหละค่ะ
-Two Headsets (ก็ในภาพที่คุณพ่อคุณแม่ใส่หูฟัง สีขาว ๆ น่ะค่ะ)
-Fetal Speakers (กลม ๆ มีสีดำตรงกลางอ่ะค่ะ)
-Fetal Microphone
-Belt (นี้ใช้พันหน้าท้อง เวลาจะเอา Fetal Speakers วางตรงตำแหน่งที่เบบี้อยู่)
-Adapter, Recording Cable
-Classical Music CDs

จากนั้นก็อ่านรายละเอียดการใช้งานทั้งหมดเลย ทำให้เข้าใจว่า การจะเปิดเพลงให้เบบี้ฟัง ไม่ใช่นึกจะเปิดตอนไหน เวลาไหนก็ได้ แต่ที่ทางคู่มือแนะนำมาคือ ให้เปิดเพลงให้เบบี้ฟัง ครั้งละไม่เกิน 10 นาที สองครั้ง เวลาเช้าและก่อนนอน และเปิดเวลาไหนครั้งแรก ควรจะเปิดเวลานั้นไปตลอด และควรที่จะเปลี่ยนเพลงไปเรื่อย ๆ ไม่ควรใช้เพลงเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ในการเปิดในแต่ละครั้ง เพราะถ้าเราทำผิดวิธี จากที่จะทำให้เบบี้เพลิดเพลินไปกับเพลงที่เปิด กลับกลายเป็นการรบกวนเบบี้ รวมทั้งทำให้เบบี้เครียดไปเสียอีก
ทางคู่มือยังบอกอีกว่า เริ่มเปิดเพลงให้เบบี้ ตั้งแต่อายุครรภ์ที่ห้าเดือนเป็นต้นไป แต่ก็ไม่มีข้อห้ามว่าห้ามเปิดก่อน เบบี้เราอายุยังไม่ถึงห้าเดือนดี แต่เราก็อยากเริ่มให้เค้าฟังน่ะนะ เลยเริ่มเปิดตั้งแต่คืนแรกที่ได้มาเลย

มาถึงประสบการณ์ครั้งแรก ขอย้อนกลับไปก่อนนิดนึงว่า ปกติเนี่ยเราไม่เคยรู้สึกว่าเบบี้คิก หรือขยับตัวเลย ไม่ใช่เราไม่สังเกตุ แต่เป็นเพราะไม่รู้สึกจริง ๆ แต่วันนั้น (วันพุธที่ผ่านมา) เราเปิดเพลงให้เบบี้ฟังครั้งแรก ขั้นตอนคือเอาเข็มขัดผ้ายางยืดที่ได้มาคาด แล้วก็เอาหูฟังแปะไปสองตำแหน่งบนหน้าท้อง เราเสียบหูฟังสำหรับเราด้วย จะได้รู้ว่า เราเปิดเพลงดังเกินไปรึเปล่า (เกือบลืม การเปิดเพลงใฟ้เบบี้ฟัง ควรจะเปิดให้ดังกว่าปกตินิดหน่อยเท่านั้น อย่ามากเกินไป เพราะถ้าเรายังรู้สึกว่าดังมากเกินไป เบบี้ก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน)
แล้วเราก็นอนราบฟังเพลง รู้สึกผ่อนคลายมาก เวลาผ่านไปยังไม่ถึง 5 นาที สัมผัสแรกของเบบี้คิกก็เกิดขึ้น เราตกใจมาก เพราะอย่างที่บอกว่าไม่เคยรู้สึกมาก่อน ก็รู้สึกตื่นเต้น และครั้งที่สอง สาม สี่....... ไปเรื่อย ๆ จนนับไม่ถ้วน ก็ตามมาเรื่อย ๆ

จิมเพิ่งขึ้นห้องมา เราก็บอกว่า I felt baby kicking แล้วก็นับไปด้วย เค้าก็ขำ แต่เราก็ไม่ได้ร้องไห้นะ แค่รู้สึกว่าดีใจที่ได้รู้สึกว่ามีอีกชีวิตอยู่ในท้องของตัวเอง

พอครบสิบนาที เราก็เปลี่ยนมาเป็นใช้ Fetal Microphone คุยกับเบบี้บ้าง ครั้งแรกบอกตรง ๆ ว่าอาย ไม่รู้จะพูดยังไง เขิน ๆ ก็พูดเป็นภาษาไทย บอกรักเค้า บอกว่าตื่นเต้นที่มีเค้ามาอยู่ และก็จะเปิดเพลงและคุยกับเค้าทุกวัน พอเราพูดเสร็จ ก็เปลี่ยนให้จิมพูดบ้าง เค้าก็เอามือลูบท้องเรา และก็พูดไปด้วย แต่จิมจะเขินมาก ไม่กล้าพูด ก็รู้ล่ะ ว่าเค้ารู้สึกสติวปิดอ่ะ เราเลยพูดให้จิมพูดตาม เพราะจิมพูดแค่ Hi, Hello แค่นั้น แล้วก็เงียบ เราเลยพากย์ไปข้าง ๆ ว่า Hi, little one. We can't wait to see you, we love you ................ จบ คิดอะไรไม่ออกแล้ว เลยหยุดแค่นั้น แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขิน ๆ พอวันถัด ๆ มาก็รู้สึกว่าดีขึ้น

วันนี้ออกวิชาการเล็ก ๆ นะคะ เอาประสบการณ์ตัวเองมาแชร์ บางคนอ่านอาจจะรู้สึกว่าไร้สาระ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อก็ได้ ใช้แค่อุปกรณ์ที่มีอยู่ แล้วเปิดเพลงให้ฟังก็น่าจะพอ ก็แล้วแต่ความชอบความเชื่อของแต่ละคนน่ะนะ อย่างที่เราบอกไว้ข้างต้นว่า เราคิดว่าเราลงทุนแค่นี้ แต่ประโยชน์ที่ได้กลับมาถ้ามันประเมินค่าไม่ได้ เราถือว่าคุ้มสุดแล้วล่ะ

ปล. ก่อนจบนิดนึง เผื่อมีว่าที่คุณแม่อยากซื้อบ้าง ที่วอลล์มาร์ทก็มีขายนะคะ แต่ต้องสั่งออนไลน์เท่านั้น แต่ที่วอลล์มาร์ทจะมีขายแบบ single headset ราคาถูกกว่าอีก $10 ก็เท่ากับ $29 เท่านั้น ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องใช้หูฟังสลับเปลี่ยนไปกับว่าที่คุณพ่อ ก็ถือว่าคุ้มมากเลย และถ้าไม่อยากเสียค่าชิปปิ้ง ก็ใช้วิธีออเดอร์ให้ทาง Manufacturer มาส่งที่วอลล์มาร์ทสาขาใกล้บ้านน่ะค่ะ แต่ใช้เวลาหลายวันหน่อย แต่ไม่เสียค่าส่งนะ

Monday, July 02, 2007

ไปมันกันกับจอห์น เมเยอร์คอนเสริต

ไม่ได้อัพบล็อกเล้ยยยยยยย (ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ต้องลองมาท้องดูนะคะ แล้วจะรู้ว่าขี้เกียจขนาดหนาย อิอิ) แต่ว่า วันนี้ต้องอัพหน่อย เพราะไปดูคอนเสริตที่ร้ากกกมา จะใครเสียอีกล่ะ ก็ John Mayer ผู้น่ารักนั่นเอง

จริง ๆ ไม่ได้ชอบหรือคลั่งไคล้มากขนาดที่บ้าพี่เบคนะ แต่ว่าก็ชอบน่ะ ทั้งน่ารัก เท่ห์ เพลงฟังสบาย ๆ พอดีฟังวิทยุระหว่างขับรถ และทำงานทุกวัน ก็เห็นว่า พี่จ้อน (จอห์นนั่นแหละ) จะมาเล่นคอนเสริตที่ Blossom Music Center เลยบอกจิมว่า ไออยากไปดูอ่ะ ยูอยากไปมั้ย เค้าก็ตามใจ ก็เลยจองผ่าน http://www.ticketmaster.com/ ตอนทีที่จองเนี่ย ก่อนวันคอนเสริตแสดงไม่กี่วันเอง ยังแอบคิดว่า จะมีที่เหลือเร้อ เห็นมีอยู่สามราคา ถูกสุดจะนั่ง ๆ นอน ๆ ดูที่ lawn แต่เราเลือกที่แพงสุด เพราะมันก็ไม่ได้แพงอะไรมาก ได้ที่นั่งแบบไม่ถือว่าแบ๊ดเลย ณ ขณะที่จองเวลานั้น เราได้ที่ห่างจากสเตจประมาณ ยี่สิบก้าว (ถ้าวิ่งจากที่นั่งเราไปถึงหน้าสเตจ) คาดเดาโดยประมาณ แล้วได้ตรงกลางด้วย ถือว่าโอเคเลย

คอนเสริตเริ่มตอนทุ่มนึง เรากับจิมไปถึงตอนทุ่มนิด ๆ พอเข้าไปนั่ง ก็มีวงเปิดวงแรกเล่นอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้ชื่อวงอะไร (ไม่มีอะไรให้น่าจำ) เล่นได้เฉย ๆ มาก แต่พอวงที่สอง ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี ชื่อวง ben fold มีกันอยู่แค่สามคน มือกลอง กีตาร์ และเปียโน (vocal) ถือเป็นวงที่เล่นสดได้ดีใช้ได้ทีเดียว เอนเตอร์เทนคนฟังได้ดีด้วย คนก็สนุกไปกับพวกเค้า นี่ยังว่าจะลองเสริชในยูทู้บดูว่ามีเพลงของพวกเค้าบ้างมั้ย อยากดูว่า เพลงเค้าจะแตกต่างจากเล่นสดแค่ไหน ช่วงใกล้ ๆ จบของวง ปรากฏว่า ทำเอาเรากรี๊ดลูกแทบช็อค เพราะอยู่ ๆ พี่จ้อนก็เดินออกมาแจมกับ เบน โฟลด์ แต่ดันดูดบุหรี่ด้วยนี่น่ะสิ ขัดใจเล็ก ๆ แต่ก็ยังกรี๊ดอยู่ น่ารักมาก ๆ จิมขำจะแย่ ไม่เคยเห็นคุณมะเอียเป็นแบบนี้ พอแจมจบเพลงก็กลับไปหลังสเตจ และปล่อยเจ้าหน้าที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบเวที พร้อมทั้งเครื่องดนตรีต่าง ๆ

สามทุ่มกว่า ๆ อยู่ ๆ ก็ปวดชิ้งฉ่อง บอกจิม "ฮันนี่ ๆ ยูคิดว่าพี่จ้อนจะออกมาเร็ว ๆ นี้มั้ยอ่ะ ไอกลัวว่า ถ้าเกิดพี่แกออกมาช่วงนี้ แล้วไอปวดฉี่อยู่ ไอต้องอั้น หรือไม่ก็กรี๊ดจนฉี่แตกแน่ ๆ เลย จิมเลยบอกว่า น่าจะยังหรอกมั้ง แต่ถ้ายูจะไป เด๋วไอไปเป็นเพื่อน" ก็ตกลงไปกันสองคน เดินชมนก ชมฝรั่งข้างทาง กระหนุงกระหนิง เดินยังไม่ถึงห้องน้ำเลย เสียงกรี๊ดกระหึ่ม เราก็หืม ตรู เซ็งเลย แต่ก็ไม่เป็นไร เด๋วก็กลับไปดูต่อได้

พอเสร็จ คุณสามีบ่นหิว เลยซื้อ เพรทเซลไปหนึ่งชิ้นใหญ่ และก็เบียร์อีกหนึ่งกระแป๋ง แล้วก็รีบ ๆ เดินดุ๊ด ๆ เข้าไปในฮอลต่อ พอถึงที่เท่านั้น อิชั้นก็กรี๊ดอีก (กรี๊ดไม่กลัวมดลูกแตกเลยนะ) ตอนนั้นคนก็ยืนกันทั้งฮอล อ้อ ลืมเล่าไปนิดนึง ก่อนหน้าที่พี่จ้อนจะมา เราสองคนเอนจอยคอนเสริตมาก โต๊ะที่นั่งแถวหน้ายังว่างอยู่ ก็ไม่มีอะไร พอพี่จ้อนมา เจ้าของที่ก็มา เป็นคู่ชะนีสองตน กับตัวผู้อีกสอง มาเป็นคัพเปิ้ว (couple) นั่นแหละ แต่ดูแล้วก็วัยเพิ่งเริ่มทำงาน เราก็ไม่ได้อะไร แต่ ณ ตอนที่พวกเค้ามานี่ คนเริ่มทยอยนั่งกันแล้ว รวมทั้งเราด้วย พอเด (they) มาถึง ก็ยืนไม่สนใจคนข้างหลังเลย (จริง ๆ เราเข้าใจว่าคอนเสริต มาก็ต้องสนุก ส่วนใหญ่จะอลุ่มอล่วยกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่แล้ว น้อง ๆ ที่นั่งด้านข้าง จริง ๆ เค้านั่งที่เราด้วย เพราะหนึ่งในกลุ่มเค้าจองทีหลัง เลยต้องนั่งถัดจากเราไป เค้าเลยถามว่า ยูมายด์มั้ย ถ้าเค้าจะขอให้เพื่อนมานั่งติดกับเค้า เราก็ไม่มายด์เลย เราเข้าใจน่ะ เค้าก็ขอบคุณใหญ่)

ทีนี้ พอเค้ายืน เราก็ต้องยืนด้วย เพราะมองไม่เห็นไง แต่เด มาแบบไม่สนใจใครจริง ๆ น่ะ มาถึงก็ยืนแอ๊คท่าถ่ายรูป ดื่มเบียร์ กอดจูบดูดด๊วบกันเป็นนานสองนาน (เรายังคิด ดีนะที่ไม่ได้เอาคิมมา ไม่งั้นคงได้ให้ปิดตากันแน่) เราก็ยังไม่ได้อะไร ก็พยายามดูคอนเสริตให้สนุก ผ่านไปได้อีกสองเพลงมั้ง เค้าถึงได้นั่ง นั่งกันแป๊บนึง ชะนีสองตนก็ออกไปซื้อเบียร์เพิ่ม (เข้าใจว่างั้น) เราก็ได้เอนจอยคอนเสริตต่ออย่างสนุก พอผ่านไปได้อีกประมาณสองเพลงมั้ง พวกชะนีสองตนก็เดินกลับมาพร้อมเบียร์ มาถึงก็ดึงมือตัวผู้ขึ้นให้ยืนด้วยกัน และก็กอดรัดฟัดเหวี่ยง สวีทหวานกันอีกรอบ เราก็เอ๊ะ อินี่ (ขอโต้ดนะก๊ะ อารมณ์มันขึ้นน่ะ) เพลงก็เพลงช้า เมริงจะยืนหาอะไรมิทราบคะ เราก็เริ่มเซ็งแล้วไง จิมก็เซ็งไปด้วย ทำไมไม่สนใจคนอื่นเลย คือไม่ใช่มีแค่คู่เราที่นั่งไง คนข้างหลังก็นั่งกัน เราก็อืม เริ่มไม่สนุก แต่ก็จะเอาไงดีฟระ ไม่อยากมีเรื่องเลย แต่พอใกล้จบเพลงนั้น (gravity) เราก็สะกิด ตัวผู้และกระซิบบอกอย่างสุภาพว่า ช่วยนั่งลงหน่อยได้มั้ย เราอยากเอนจอย คอนเสริตด้วยน่ะ คือใช้ประโยคสุภาพนะ ขอร้องน่ะ เค้าก็ให้รีพีทว่าพูดอะไร เราเลยพูดอีกรอบ นังชะนีหันมาบอก "stand up" อ้าว อินี่ ขอร้องดี ๆ นะ เราก็เลยบอกว่า โอเค F....k You แล้วเราก็นั่งลง มันหันหน้ากลับมาถามว่า what did you said? เราเลยรีพีทแถมไปอีกรอบ ว่า F....k You แล้วก็ยื่นดับเบิ้ลนกเขาให้ มันก็จ้องเสร็จแล้วก็หันไปบอกตัวผู้ของชีว่าเราคงอย่างนั้นอย่างนี้ จากนั้น มันก็แกล้งด้วยการยืนไม่ยอมนั่งและเอนจอยคอนเสริตแบบเฟค ๆ สักพัก แถมยังดึงเพื่อนที่มาด้วยกันให้ยืน และกระซิบบอกว่าเราว่ามันไปแบบนั้นแบบนี้

ไอ้เราก็คิดว่า คุณสามีจะห้ามเรา แต่เค้าก็คงทนคนแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน เค้าเลยเอาหมากฝรั่งที่เคี้ยวอยู่ในปาก วางบนที่นั่งของนังชะนีตนนั้น แต่มันก็ยังไม่นั่งนะ จนเราก็ไม่อยากดูต่อแล้วไง กะว่าซื้อตั๋วแพงสุด คงจะไม่เจอพวกแนสตี้ แต่ก็มาเจอ จิมกระซิบบอก โนว จะรอดูให้นังชะนีนั่งก่อน พอมันนั่งแล้วเราค่อยไป ฮา ๆๆๆๆ เป็นไงคะ สามีชั้น ยิ่งกว่ามะเอียอีก แต่จนแล้วจนรอด พวกเด ก็ไม่นั่ง เพลงจบไปได้เพลงกว่า ๆ พวกมันก็เดินออกไป ไม่รู้ว่าไปซื้อเบียร์ต่อหรือกลับเลยนะ แต่เราไม่สนใจ ก็นั่งฟังเพลงอีกพักนึง ถึงจะไม่ค่อยสนุกแล้วเท่าไร แต่ด้วยความน่ารักของพี่จ้อนก็ทำให้เรากลังมาเบิกบานได้อีก จนกระทั่งสี่ทุ่มครึ่ง เราเห็นว่าดึกมากแล้ว และพี่จ้อนก็เริ่มแนะนำสมาชิกในวงแบ็กอัพแล้ว เลยชวนจิมกลับ เพราะถ้ารอจนคอนเสริตจบ คงไม่ได้กลับแน่ ๆ คนเยอะมาก ๆ เลย

นี่ยังคิดอยู่เลย ว่าถ้ามีเรื่องนี่จะทำไง แต่ในใจก็แอบเตรียมพร้อมเหมือนกัน เพราะถ้านังจะชีง้างมือมา อิชั้นจะจรเข้ฟาดเลย ด้วยระดับที่เรายืน จะสูงกว่ามันจี๊ดนึง แต่ก็ดีแล้วที่ไม่มีอะไร เพราะจิมบอกว่า ไอรู้ว่ายูอยากจะขย้ำหัวนังนั่นใจจะขาด แต่ว่า มีเรื่องที่นี่ จะมีปัญหาใหญ่เลย เราก็คงไม่หรอก ไหนจะเบบี้อีก ชั้นแค่ไม่ยอมใครแค่นั้น แต่ไม่ได้ระรานใครนะ

เรื่องคอนเสริตพี่จ้อนเลยจบไปด้วยประการะชะนี้ ตอนนี้อยากดูคอนเสริตใหญ่ ๆ บ้าง ฝันว่าอยากจะได้ดู Yanni ซักครั้ง แต่ไม่รู้จะมาที่นี่เมื่อไร เรากับสามีชอบคอนเสริตเค้ามาก ๆ แต่ตอนนี้แค่คุยคร่าว ๆ ว่า ไว้บอง โจวี่มา จะไปดู อิอิ

Saturday, April 14, 2007

ครั้งหนึ่งกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัส

ทำไมวันนี้เรามีอาการแปลก ๆ นา.......

เป็นคำพูดที่บ่นกับตัวเองและพูดกับสามีว่า ทำไมเรามีอาการแปลก ๆ มึน ๆ หัวยังไงบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร.....

ปกติตัวเองเป็นคนไม่เคยจด หรือจำวันที่ประจำเดือนมา หรือหมดเลย ไม่เคยใส่ใจจำ เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...
แต่คราวนี้ มันมีอาการอื่นปนด้วย จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย

- เอ๊ะ หรือเป็นเพราะช่วงนี้เราทานเผ็ดเยอะนา (เคยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ก็จะมีอาการมึนหัว ปวดท้องคล้าย ๆ แบบนี้) แต่ว่าเรายังมีอาการอื่นอีก

- อาการที่ว่าก็พวกปวดขา ปวดมาก เจ็บหน้าอก (บวกกับใหญ่ขึ้น เหมือนทุกครั้ง) จะต่างจากทุกครั้งตรงที่เจ็บแม้กระทั่งหัวนม คืออาการทุกอย่างจะคล้ายกับอาการเตือนก่อนมีประจำเดือน แต่ก็เอ๊ะ ทำไมไม่มาซะที ไอ้เราก็จำไม่ได้ว่าคราวที่มาล่าสุดมันเมื่อไร แต่คุ้นว่าจะเกินเดือนแล้วนะ แต่ไม่ชัวร์ จนกระทั่ง

วันที่สองของอาการที่ว่ามาทั้งหมด บวกเพิ่มอาการมึนหัว ปนกับจะอาเจียรบ่อย ๆ เลยทำให้ตัดสินใจว่า วันนี้เราจะต้องไปซื้อ Pregnancy test มาซะที ทนกับความรู้สึกนี้ไม่ได้แล้ว (รู้สึกกลัวและกังวลว่าจะท้อง)
จากนั้น ก็ออกไป Grocery shopping และก็ซื้อเทสเตอร์มาด้วย กลับมาก็ไหว้พระก่อนตรวจ ว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย แล้วเราก็เข้าห้องน้ำไปทำการตรวจ (ที่ตรวจของเราจะเป็นแบบเก่า ที่ถ้า positive จะมีขีดขึ้นมาสองขีด สีแดง จากปกติถ้า negative ก็จะโชว์แค่ขีดเดียว)

เราเคยทำการตรวจเองแบบนี้มาก่อน ตอนที่บ้า ๆ คิดว่าท้อง...... ครั้งนี้ เราก็ทำเหมือนทุกครั้ง บังคับฉี่ตัวเองให้ตรงกับแท่งเทสต์ แล้วเราก็เอาวางทิ้งไว้แป๊บนึง ชะโงกดู...หึ้ย ขึ้นขีดเดียว เห้อ...โล่งอก แต่ก็ยังนั่งต่ออีกแป๊บนึง แล้วก็ทำความสะอาดตัวเอง กำลังจะลุกพลันหันไปดูผลอีกที เข่าแทบทรุดเลย เพราะขีดที่สองค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา..... ตอนนั้นร้องไห้เลย ตกใจ ไม่รู้จะทำยังไง ความรู้สึกสุมเข้ามาหมดเลย กลัวไปหมดว่าจะผ่านช่วงพีคไปได้มั้ย แล้วเด็กจะเกิดมาครบ 32 รึเปล่า แล้วเราจะเป็นแม่ที่ดีได้มั้ย โอ๊ย ร้อยแปด ป๊อบอัพมา คือเราแต่งงานมาปีครึ่ง จริง ๆ ก็น่าจะเป็นเวลาที่ค่อนข้างเหมาะสม ที่จะมีลูก แต่สำหรับคนที่รู้จักเราจริง ๆ จะรู้ว่าเราไม่เคยมีความคิดอยากมีลูกเลย จะว่าเป็นคนเนกาทีฟก็ได้ กลัวโน่นกลัวนี่ สภาพจิตใจไม่พร้อมจริง ๆ ถึงให้เวลาตัวเองและสามี 5 ปี (ผ่านมาปีครึ่ง ก็เหลือเวลาอีกสามปีครึ่ง) ที่จะให้เวลาตัวเองตัดสินใจในการมีลูก จนกระทั่งวันนี้เค้ามาแล้ว เราจะทำยังไง บอกตรง ๆ ว่ามีความคิดเรื่อง abortion แวบเข้ามาเรื่อย ๆ เลย แต่เราก็สับสนมาก

คนที่เข้ามาอ่านบล็อกเราครั้งนี้ ที่ไม่ชอบเราอยู่แล้ว อาจจะไม่ชอบเรามากขึ้น เพราะความคิดแปลก ๆ ของเรา แต่เราไม่ซีเรียสนะ เพราะถ้าไม่มาเป็นเรา คงไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงเป็นแบบนี้...

ตอนนี้ ความคิดไม่ดี ค่อย ๆ ปรับไปในทางที่ดีขึ้น คนแรกที่ต้องขอบคุณ คงหนีไม่พ้นสามี ไม่คิดว่าเค้าจะแฮนเดิลเราและสถานการณ์ได้ดีขนาดนี้ เค้ารู้เพราะเราโทรไปหาเค้าหลังจากที่รู้ผล เค้าตกใจที่เราร้องไห้แล้วพูดจาเหมือนคนสับสนมาก ๆ ตอนแรกเค้าคงตกใจกับผล เพราะเค้าก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกัน แต่แล้วเค้าก็ปลอบเรา ยืนเคียงข้างเรา ให้กำลังใจเราอย่างดีมาก ๆ เค้าเชื่อมั่นในตัวเรามาก อยากให้เราเอ็นจอยการท้องในครั้งนี้ อยากให้เรามีความสุขที่สุด ในการท้องครั้งนี้ คอยพูดคุย คอยเอาใจใส่ กอด หอม etc มากมายจนบรรยายไม่หมด ซึ่งก็ทำให้เราเชื่อมั่นมากขึ้น ถึงแม้จะมีความคิดแปลก ๆ หรือความกลัวแวบเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ตาม
ต่อมาที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ก็เป็นเพื่อน ๆ ในอังเคิลแซมนั่นเอง คนแรกก็ปูกิ๊ ปูเป็นคนแรกที่รู้ว่าเราท้อง เพราะเราคุยกับปูตลอด ปรึกษาโน่นนี่ จนกระทั่งเป็นคนแรกที่ Congrat!! เรา ปูให้กำลังใจ คำแนะนำ กับเราเยอะแยะ มากมาย แม้กระทั่งข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องประกันเกี่ยวกับคนท้อง ซึ่งเราซาบซึ้งมากมาย คงบอกเป็นคำพูดไม่หมดนะ ขอบใจมาก ๆ เพื่อน
คนที่สองในกลุ่มนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพี่ปุ้ย ตัวเรายังไม่ได้คุยกับพี่ปุ้ยโดยตรงเลย ตั้งกะรู้ตัวว่าท้อง แต่เพียงแค่พี่ปุ้ย รู้ว่าเราท้องแล้วเครียดเรื่องไม่มีประกัน พี่ปุ้ยก็สายตรงมา Congrat! รวมทั้ง แนะนำพร้อมทั้งอธิบายเรื่องประกันต่าง ๆ มากมาย ขอบคุณมาก ๆ นะคะพี่
จากนั้นก็จะเป็นหนุงหนิง, วิ, ปุ๊ก, อ้อม และแนต ที่โทรมา Congrat!! และให้กำลังใจ (อ้อมกับแนตถึงแม้จะไม่ได้คุยเป็นเรื่องเป็นราว เพราะโทรมาตอนเราหลับ เหะ เหะ แต่ก็ขอบคุณด้วยใจนะจ๊ะ) ซาบซึ้งมาก ๆ จ้ะ
สำหรับเพื่อน ๆ พี่ ๆ คนอื่น พอทราบก็แสดงความยินดีผ่านบอร์ดกันถ้วนหน้า ก็ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ

สำหรับตัวเราเอง ตอนนี้ก็คงเป็นหน้าที่ที่เราต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ และก็ดูแลเจ้าตัวเล็กที่มาอยู่ในท้องเรา ให้มีสุขภาพกาย และใจแข็งแรงสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะเป็นหญิงหรือชายสำหรับเราไม่สำคัญแล้ว ขอให้ครบ 32 ก็พอ......

คำพูดนึงที่กระตุ้นความรู้สึกเรา เป็นคำพูดจากแม่ของเราเอง หลังจากที่แม่รู้จากน้องชายเรา ว่าเราท้อง น้องชายบอกแม่ด้วยว่าพี่โอ๋กลัว แล้วเครียด แม่ก็บอกว่า จะกลัวอะไร ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แม่อุ้มท้องพวกเรามา 3 คน เลี้ยงพวกเรามาจนโต 4 คน จนเป็นคนดีได้ทุกวันนี้ แม่ยังผ่านมาได้เลย... จริง ๆ เป็นคำพูดที่แสนจะธรรมดาสำหรับใครบางคน แต่สำหรับเรา คำพูดแม่คาล์มเราลงเยอะเลย....ขอบคุณนะคะแม่...แม่ยังบอกต่อว่า ถ้าคลอดแล้วไม่เลี้ยง ส่งมานี่ เด๋วแม่เลี้ยงเอง จากเครียด ๆ อยู่ เรายังขำเลย ว่าแม่เลี้ยงหมาเรา 5-6 ตัวยังไม่พอเหรอจ๊ะ จะมาเลี้ยงลูกโอ๋อีก น่ารักจริง ๆ เลยแม่เรา

แล้วจะพยายามมาอัพเดตเรื่อย ๆ นะคะ ถ้าไม่แพ้มากมาย แต่เป็นคนบันทึกอะไรไม่เก่ง คงจะไม่ได้บันทึกอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เป็นขั้นตอนเหมือนคนอื่นเค้า แต่ก็จะพยายามละกันค่ะ

Wednesday, April 04, 2007

ส่งการบ้านแถ่กอาหารให้พี่ปุ้ยคร๊า

โดนแถ่กต่อมานานน้านนาน จนสาวอ้อม สาวเจเขียนเสร็จแระ เราเพิ่งเริ่ม แต่ก็เอานิ ช้า ๆ ได้พร้าไว้ฟันหัวสามีเล่น อิอิ

อย่างแรกเลยคงหนีไม่พ้น MK สุกี้ เป็นคนชอบสุกี้มาก กินได้ทุกยี่ห้อ แต่ยี่ห้อ MK จะโปรดสุด จริง ๆ แฟนเก่าเคยพาไปกินร้านสุกี้ต้นตำรับหรือไงไม่ทราบ ร้านอยู่ตรงถนนเพชรบุรี เอ๊ะ ร้านนั้นชื่ออะไรหว่า นึกไม่ออก น้ำจิ้มก็อร่อยดี กลิ่นเต้าหู้ยี้ฉุยเลย แต่ท่าจะเหมาะกับคนชอบทานเนื้อมากกว่า (อ้าว พูดเรื่องเอ็มเคอยู่ดี ๆ ไหงแวะไปร้านอื่นได้) คิดถึงเป็ดย่าง คิดถึงบะหมี่หยก คิดถึงน้ำจิ้มสุกี้เอ็มเค นึกถึง pocket pc ที่น้องพนักงานแสนจะไฮเทคใช้จดเมนู เห้อ อยากกิน

อย่างที่สองต้องนี่เลย หอยหลอด, หอยลาย, หอยตลับ และหอยกะพง ผัดฉ่า อยากทานมากกกกกกก เผ็ด ๆ เลยนะ ใส่กระชายเยอะ ๆ เม็ดพริกไทยสดแยะ ๆ อ้อ ถ้าผัดฉ่าต้องมีนี่ด้วย ปลาดุก อุย ๆ เลยนะ ตัดเป็นชิ้น ๆ ปล้องใหญ่ ๆ โหย ทานกับข้าวร้อน ๆ ตาย ค่ะ ตาย แค่นึกน้ำหนักก็ขึ้นแล้ว

อย่างที่สาม ก็คงต้องเป็นห่อหมกฝีมือป้าโฉม (พี่สาวพ่อ) ป้าเราเป็นคนทำอะไรก็อร่อย แกเป็นแม่ค้าขายอาหารฝีมือฉกาจมาก ตื่นตีสามไปตลาด กลับบ้านมาเตรียมของตาหลับก็สามารถหั่นของได้ อันนี้ยืนยันกันทั้งตระกูล
ป้าทำห่อหมกพุงปลาช่อนได้อร่อยที่สุดในโลก ไม่ว่าจะใส่ใบยอ หรือกะหล่ำ อร่อยทั้งสองอย่าง แล้วรสชาติจะเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ว่าทำกี่ครั้งก็ตาม (ว่าแล้วกลับไปคราวหน้า ขอห่อหมกพุงปลาช่อนสำหรับโอ๋คนเดียว สิบห่อเลยนะคะป้า อิอิ ห้ามใครมาจกด้วย)

อย่างที่สี่ อันนี้ไม่ได้ทานนานมาก ๆๆ แต่ก็ยังนึกถึงเสมอเวลาผ่านไปแถวนั้น สมัยเรียนสวนดุสิต จะมีร้านชื่อเจ๊หงษ์ อยู่ตรงซอยไร้ส้ม สวนอ้อยอะไรซักอย่าง จำไม่ได้แล้ว นานมาก ๆๆ ร้านนี้ทำอาหารอร่อย แต่เมนูโปรดของเรามีสองจาน จานแรกจะเป็นยำปลาดุกฟู ร้านนี้เค้าใช้ปลาดุกล้วน ๆ ไม่ผสมมะพร้าวขูดเหมือนร้านอื่น ๆ อร่อยมาก น้ำราดก็อร่อย อ้อ เค้าใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ด้วย ไม่ใช้ถั่วลิสง ไม่ธรรมดา ๆ และก็อีกเมนูคือ เกาเหลาเย็นตาโฟแห้ง โหย อันนี้ก็สะเด็ดสะเด่ามากค่ะ อร่อยจริง ๆ เครื่องเยอะ เครื่องครบ อร่อย ๆ (ถ้าจำไม่ผิด ร้านนี้เป็นร้านครอบครัว ติ๊ก กัญญารัตน์มั้ง หรือญาติกันเนี่ยแหละ)

สุดท้าย ที่สามารถนึกได้ ณ ตอนนี้ ก็คงจะเป็น ตำซั่ว กับปลาดุกย่างตัวใหญ่ ๆ ร้านพี่ปอย ในหมู่บ้านเราเอง เป็นร้านส้มตำที่ทานกี่ครั้ง ๆ รสชาติก็อร่อยเหมือนเดิม ขนาดล่าสุดกลับไป บอกพี่ปอย เอาตำซั่วปลาร้าใส่กุ้ง เหมือนเดิมนะพี่ พร้อมปลาดุก รสชาติไม่มีเปลี่ยน อร่อยมาก

Saturday, March 31, 2007

ความผิดพลาดของ shop-a-holic gal

ตามที่จั่วหัวเรื่องเลยค่ะ
เรื่องนี้เกี่ยวกับเพราะความอยากได้กระเป๋าใหม่ (อีกแล้ว) หลังจากเบื่อน้องโค้ช ผู้ซื่อสัตย์ ที่รับใช้เรามาร่วมปี พอถึงเวลา ก็ประกาศขายในอีเบย์ ได้กำไรมาพอฟัดพอเหวี่ยง ก็เริ่มปฏิบัติการหาใบใหม่ ดูโน่นดูนี่ ตอนแรกอยากได้หลุยส์อีก แต่ก็มีแบรนด์อื่นที่อยากได้เหมือนกัน ก็เลยตามหาตามอ่าน ตามเช็คจากเวบฯ โน้น เวบฯ นี้ จนกระทั่งมาเจอแบรนด์นี้ Balenciaga ก็ดู ๆ เอ๊ะ มีรุ่นมีสีไหนบ้างนะ จากทีแรกก็ยังไม่รู้เรื่องมากหรอกว่า ยี่ห้อนี่ จะมีสีเฉพาะตามฤดู ถ้านอกเหนือจากนี้ FAKE แน่นอน ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย เราเข้าเวบฯ Balenciaga หา store location ก็เจอที่ NYC ที่เดียวในเมกา เลยลองโทรไปถามเค้า ปรากฏว่า ราคาอยู่ที่ $1195 โอ้ย ยังมะมีปัญญาอ่ะ แต่ก็ยังอยากได้มากอยู่ดี ทีนี้ จะหาที่ไหนได้ล่ะ อ๊ะ บ้านหลังที่สองของเราน่ะสิ Ebay นั่นเอง

ทีนี้ เราก็ดูไปเรื่อย ๆ เสริชหาเรื่อย ๆ จนมาเจอใบแรกที่สนใจ เป็น Balenciaga first แต่คนขายอยู่ เกาหลี ตอนนั้นราคาอยู่ห้าร้อยกว่าเหรียญ เราก็เลย watch ไว้ จากนั้นก็ยังเสริชหาใบอื่น ๆ อีก จนกระทั่งมาเจอใบนี้ Balenciaga Motorcycle City Bag สีสวยถูกใจ น้ำตาลแดง จะได้ใช้ได้หลายโอกาส จากนั้น เราก็สอบถามรายละเอียดเล็กน้อย ทางคนขายแจ้งกลับมาว่า กระเป๋าใบนี้เป็น Authenticity สามีเค้าซื้อให้หลังจากไปเจอที่ new year party 2005
Photo Sharing and Video Hosting at Photobucketใบนี้เลยค่ะ

ณ ตอนนั้น คงด้วยความที่เราอยากได้มาก หรืออะไรก็ตาม เราเชื่อเค้าสนิท บวกกับส่วนประกอบความเชื่อถืออีกสองอย่างคือ เค้ามี 100% positive feedback และโลเคชั่นที่เค้าอยู่ ก็ Boca Raton FL คือแถวที่สาววิอยู่ ก็พอรู้มาว่า คนมีตังค์อยู่ทั้งนั้น เราใช้แค่ส่วนประกอบแค่นี้ในตอนนั้นในการตัดสินใจ จากนั้นก็ถามเกี่ยวกับ dust bag, tag etc. เค้าก็บอกว่าคาดว่ายังมีอยู่ เท่านั้น เราก็ made an offered เลย ได้มาที่ $699 เราทั้งตื่นเต้นและดีใจ ตอนคุยกับสามี เค้าก็โอเค อนุญาติให้เราซื้อได้ แต่ต้องสัญญาว่าจะหยุดซื้อกระเป๋าเป็นปีอะไรก็ว่าไป เราก็สัญญา จากวันนั้นจนถึงวันที่กระเป๋ามาถึง ใช้เวลาทั้งหมด หนึ่งสัปดาห์เต็มได้

วันนั้น เราขับรถกลับถึงบ้าน สายตาพลันไปจ้องอยู่ที่กล่องใบหนึ่ง ตั้งอยู่หน้าบ้าน ใจก็คิดว่าใครสั่งอะไรมา (ทั้ง ๆ เราก็รอกระเป๋าอยู่) แต่สภาพกล่องมันไม่น่าจะเป็นกล่องที่ใช้ใส่กระเป๋าใบละพันกว่าเหรียญ คือสภาพเน่ามาก เราก็จอดรถเอากล่องเข้าบ้าน ปรากฏว่าใช่ แต่ก็ไม่คิดอะไร รีบแกะกล่องอย่างรีบด่วน เห็นสภาพกระเป๋า ยิ่งดีใจใหญ่ เพราะกระเป๋าสวยมาก และนิ่มสุด ๆ (ณ ตอนนั้น อย่างนึงที่รู้เกี่ยวกับกระเป๋ายี่ห้อนี้คือ ทำจากหนังแพะ หนังแกะอะไรก็ว่าไป หนังจะนิ่มมากกว่าหนังวัวที่ใช้ทำทั่วไป) เราเช็คทุกอย่าง จับทุกอย่างจนเกือบจะ leave feedback ให้คนขายไป แต่ก็ด้วยความที่ยังอยากรู้ว่า เราได้กระเป๋าของแท้มารึเปล่า จนกว่าจะได้ใช้ ชั้นต้องรู้ให้ได้ จึงทำการหารายละเอียด เปรียบเทียบทุกอย่าง อ่านทุกรีวิวที่มี unfortunately the bag were fake!!!

เราเริ่มจากหาจากอีเบย์ก่อน เปรียบเทียบตัวเลขบนแท็ก แล้วจุดสังเกตุแรกก็เป็นตัวเลขเนี่ยแหละ ซึ่งของเรากับของบางใบในหลาย ๆ ใบไม่เหมือนกัน เราก็ยังไม่ปักใจ เพราะที่เจอ แต่ละใบมันไม่เหมือนกันซะทีเดียวซักใบ จากนั้นก็กูเกิ้ลหารีวิว ก็มาเจอบล็อกเกี่ยวกับคนที่สะสม Balenciaga/ Chloe ก็อ่าน ๆ รายละเอียดคร่าว ๆ ที่เค้าให้ไว้ แค่คร่าว ๆ เราก็พบว่า สามอย่างที่เราได้มา มันชัดเจนว่าปลอม (อยากจะบ้า) จากนั้น เราก็ยังไม่ลดละพยายาม โทรไป NYC store อีกที ถามเค้าว่า Authenticate ให้ได้มั้ย เค้าไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ให้รายละเอียด บอกอย่างเดียว ถ้าจะรู้ว่าของแท้ คือต้องซื้อจากเค้า (อ้าว ก็แน่น่ะสิ) แล้วเราก็โพสต์ในอีกเวบฯ นึง โพสต์รูปประกอบด้วย สาว ๆ ในนั้นช่วยกันตอกย้ำความมั่นใจของเรากันใหญ่ว่า เทอได้ของปลอมมานะจ๊ะ แถมยังได้ของปลอมแบบแพงมาก ๆ ด้วย เรานะทั้งแค้น ทั้งรู้สึกเสียใจ และก็คุยกับจิมว่าเราจะคืน

ตอนแรกเค้าไม่ค่อยสนใจ เพราะคิดว่านังเมียเอาอีกแระ อะไรของเทออีก พอเอารูปเปรียบเทียบให้เค้าดู เค้าก็เริ่มเชื่อ และเค้าเริ่มลงมือรีเสริชด้วยตัวเองด้วย ด้วยการ เอา Model number มากูเกิ้ล ปรากฏว่า ขึ้นมาพรึบเลย แต่โชว์ว่าเป็น Replica นะ แต่เอาของคนอื่นที่ขายแพง ๆ มากูเกิ้ล กลับไม่ขึ้น จากนั้นเราก็เลยเริ่มติดต่อคนขาย แต่อีเมล์ที่เราเขียน เต็มไปด้วยความโมโห จิมเลยเอามาแก้ก่อนส่ง ให้ภาษาดูไม่โบรคเค่นอิงลิชมากนัก แต่เค้าลืมอย่างนึง เค้าดันบอกยัยคนขายไปว่า เค้าโทรไปให้ assc. ที่สโตร์ nyc เช็คให้ แล้วมันแจ้งว่า ของปลอม เราเห็นตอนแรกเราบอกเค้าว่า ไม่ได้ คือเรารู้ ก็เหมือนหลุยส์ ถ้าอยู่ ๆ คุณถือกระเป๋าหลุยส์เข้าไปแล้วให้เค้า Authenticate ให้ เค้าคงมองคุณเหยียด ๆ และก็ไม่ทำอะไรให้เลยด้วย เราเลยบอกจิมไป แต่เค้าก็ยังมั่นใจว่าเมล์เค้าโอเค เราเลยปล่อย แล้วก็ส่งไป

จากนั้นผ่านไปหลายช.ม. ยัยคนขายตอบกลับมาว่า ก่อนจะพูดถึงความผิดพลาดของตัวคุณเอง ก็ต้องแสดงความยินดีที่คุณได้กระเป๋าแล้ว แล้วเค้าก็เริ่มพูดว่า กระเป๋าใบเนียะ ของแท้ แล้วเค้าก็เพิ่งวางสายจากสโตร์ที่นิวยอร์คเหมือนกัน คุยกับผู้จัดการ มันเป็นไปไม่ได้ที่เค้าจะให้รายละเอียดอะไรกับคุณ ไหนลองบอกชื่อพนักงานมาซิ ชั้นจะไปเช็ค บลา บลา และก็เริ่มว่าเราว่า ดูเหมือนเราเป็นคน doubtful ตั้งแต่ก่อนซื้อแล้ว จริง ๆ คนเรา ถ้าไม่แน่ใจอะไร แค่ไม่แน่ใจแค่เปอร์เซนต์เดียว เค้าก็ไม่ซื้อกันแล้ว แล้วนี่คุณมาซื้อ คือจะไม่รับผิดชอบ ชั้นได้เงินแล้วนี่ อะไรประมาณนั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนจ่ายเงิน เราถามว่า ถ้ามันไม่แท้นี่คุณจะรีฟันใช่มั้ย เค้าก็บอกใช่ บวกกับใน auction ก็โชว์ว่า money back guarantee เราอ่านแล้วก็เดือด คือตั้งใจจะโกงจริง ๆ

วันถัดมา เราเลยไม่บอกจิมเลย เราเอาความรู้ทุกอย่างที่เราหามาได้ภายในไม่กี่ช.ม. แทบจะไม่นอนเลย นั่งหาข้อมูลกระเป๋าเนี่ย (จริง ๆ เราน่าจะทำก่อนจะเสียเงินให้เค้า โทษใครไม่ได้จริง ๆ ถึงได้บอกว่า ความผิดพลาดของเรา) และก็ได้รายละเอียดมาเยอะมาก ส่งกลับไปหาเค้าสอง เมลล์ ข้อความว่า

I wish this bag were Authentic cos I really like and never had one but unfortunetly its fake!!! its just mirror image!! I did the reserch last night and all the website I've read had proved that the purse is fake!
1. It doesn't match with what you said to me "the purse made for 2004-2005 but those year doesn't have the cognac color also the cognac color has release around spring last year and its look different than your purse.
2. The silver plate that shown the model serial number wasn't match with the Authentic!! the model code is right 115748 but ur purse no.1 is different than Authentic.
3. the extra tassel is not suppose to roll like that but fold and wrap in the clear plastic
4. the number behind the plate (the 4-5 digit no. suppose to be only these number "3444, 2123, 1787, 3160, 4276, 496393" but ur purse are 3666.
5. The tag that u gave me suppose to have detail inside and the strings have to be in black

And yes, I was doubtfull but to pay $700 for fake purse? Ru kidding me?
If you so sure that ur ex's never bought a knock-off purse for you so i'm sorry your wrong!!!
Look!! I am not try to argue here and i'm so sure you never want to ruin ur 100% positive feedback and I just want my money back to go buy the Authentic one at store!!! So hope you understand and try not to make thing harder. Please think about one thing!!! if the purse really value is more than thousand, would you really package so poor like you did with an old and dirty box like this? I've sold my coach purse that worth alot lower than Balenciaga (but its Authentic) I've bought a new box with professional package coz I wanted my customer to be happy!!!

หลังจากส่งข้อความนี้ไป เราก็รอเค้าตอบกลับมา ใช้เวลาเกือบวัน สุดท้าย เค้าก็ตอบ แต่ก็ยังพูดจาประมาณ เหมือนเรายังไม่รู้ว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่ เพราะใน auction ก็มีรูป เค้าบอก จริง ๆ คนเราเวลาจะซื้ออะไร ไม่ใช่มาทำการบ้าน หลังจากที่ได้ของ มันต้องทำก่อนซื้อ บลา บลา จริง ๆ มันก็ถูกของเค้า แต่ถ้าเค้าซื่อสัตย์ซักนิด เค้าก็ไม่ต้องมาเสียเวลา เราก็ไม่ต้องมาเสียอารมณ์ เสียเงิน และเวลา จากนั้นเค้าบอก เค้าเพิ่งวางหูจาก นิวยอร์คสโตร์(อีกแล้ว) บอกว่า แมเนเจอร์ที่โน่นยังยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ใครจะให้รายละเอียดเราได้ แต่แมเนเจอร์คนนั้น ยัง(อุตส่าห์) แนะนำว่า better off getting the handbag back from you because its worth alot more than what I got for it. เราอ่านแล้วอยากจะหัวเราะ เพราะประสบการณ์ ทั้งเราและจิม จากที่คุยกับเจ้าหน้าที่ที่นั่น ไม่มีใครให้รายละเอียดอะไรกับเราเลย และเราก็โทรไปก่อนด้วยซ้ำ ถ้ามีในลักษณะเดียวกัน ไม่โดนวางหูใส่ก็ดีแล้ว. จากนั้นเค้าก็ขอโทษที่ transaction ครั้งนี้ มันไม่โกสมูธ อย่างที่อยากให้เป็น (ก็ถ้ายูซื่อสัตย์ซักนิด ทุกคนก็คงจะแฮปปี้อ่ะนะ) เราก็เลยแพ็คกระเป๋าและทุกอย่างที่ได้มา กลับใส่กล่องเน่า ๆ ที่เค้าส่งมา และก็ส่งเป็นไพรออริตี้กลับไปภายในสามวัน (ขณะนี้กำลังเดินทาง)

ตอนนี้กำลังรออยู่ว่าจะได้เงินกลับมั้ย เราถ่ายรูปทุกอย่างไว้ ส่งแบบ tracking no. ด้วย กะจะไม่ให้พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง. เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คราวหน้า อย่าสะเออะซื้อของแบรนด์เนมแพง ๆ ในอีเบย์อีก ถ้ายังไม่มีปัญญาซื้อที่ร้าน เมริงก็ยังไม่ต้องเอา ไถนาไปก่อน เก็บตังค์ได้เมื่อไรค่อยไปซื้อ จะได้ไม่โง่อีก!!!!!

Tuesday, March 27, 2007

นั่งงมโข่งอยู่ตั้งน้าน กว่าจะหาทางเข้าบล็อกตัวเองได้ เห้อ กรรมของน้องโหนก ณ โอไฮโอ จริง ๆ

จะว่าไป ก็ยังไม่ค่อยมีอะไรให้เขียนเท่าไรเลย บวกกับอาการจิตตก ว่าแต่เคยเป็นกันมั้ยคะ ที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหงา ๆ อยากร้องไห้... อยู่ ๆ มันก็เป็นน่ะ เข้าใจว่าจะเป็นภาวะก่อนวันแดงเดือดนะ แต่ก็ยังรู้สึกโหวงเหวง เหงา ๆ อยู่

ไม่ค่อยอยากคุยกับใครเท่าไร แต่ก็เหมือนกับธรรมชาติสร้างมาให้ดิฉันติดเน็ตฯ กลับบ้านมาถึง เปิดคอมก่อนเลย แล้วก็เดินไปแฮ่ด ทำโน่นทำนี่ แล้วก็กลับมานั่งจ้องหน้าคอม จิตตก เห้อ ชีวิตนี้มีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ ทำไมไม่ไปทามคะคู้ณ มานั่งบ่นไรอยู่นั่นอ่ะ อืม จริงแฮะ

บล็อกนี้ถือเป็นบล็อกแรกจริง ๆ หลังจากลองผิดลองถูก เข้าใจว่า ไอ้ที่พรรณนาไว้ใน description เป็นการโพสต์เขียนบล็อก โอ๊ย ง่าว ค่ะ ง่าว นี่ถ้าไม่ได้อ้อมช่วย อิชั้นก็ยังคงนุ่งโสร่งงมโข่งอยู่นะคะเนี่ย ยังไงต้องขอบคุณอ้อม คุณเพื่อนร่วมชะตา ในโอไฮโอ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะจ๊ะ

ก่อนจบบล็อกแรก ขอบ่นคนขายปลาในเมกาหน่อยละกัน (คนขายปลา-เซลฟิช รากศัพท์มาจาก selffish hehe ขโมยพี่ปุ้ยมา อิอิ) คือ วันก่อนออกไปซื้อไก่ทอดที่คอนวีเนียนสโตร์แถวบ้าน แล้วสโตร์เนียะ ก็จะมีพื้นที่ให้จอดรถได้ไม่เกินสิบคัน แล้วทีนี้ ตอนเราเลี้ยวรถเข้าไปก็ไม่มีที่จอดรถแล้ว แต่พอดีเห็นคนออกจากสโตร์มา เราก็เลยจอดรอเพื่อที่จะเสียบหลังจากเค้าออก จากนั้น ก็มีรถอีกคันกำลังขับเข้ามาจากทางเข้าอีกด้านนึง เค้าก็คงเห็นว่าไม่มีที่จอด แต่ก็จอดชลออีกด้าน แล้วทำท่าจะพุ่งรถเข้าไปตรงคันที่เพิ่งจะขับออกไป เราก็เห้ย ไม่นะ กรู (I) มาก่อน เมริง (you) จะมาทำแบบนี้ไม่ได้ ก็เลยขยับรถให้เค้ารู้ว่า กรู (I) มาก่อน

จากนั้น ก็มีอีกคนเดินออกมาจากสโตร์ เราก็โอเช เพราะรถคันนั้นจอดติดกับคันที่เรากำลังจะออก พอทั้งสองคันออกไป เราก็พุ่งเข้าเป้าหมายเรา แล้วคุณขายปลาคนนั้น ก็เสียบเข้าไปในที่จอดซึ่งติดกับเรา แต่พอเราลงจากรถเท่านั้น สายตาเราไปเห็นว่าเค้ามีป้ายอนุญาติจอดสำหรับคนพิการ แต่ตรงที่เค้าจอดน่ะ เป็นที่จอดของคนปกติ แล้วที่เราโมโหคือ ที่จอดด้านข้างเค้า (ด้านซ้าย) เป็นที่จอดสำหรับคนพิการ ซึ่งก็ว่างอยู่ที่นึง แล้วทำไม you (เมริง) ไม่เข้าไปจอดคะ รู้ก็รู้ว่า คนที่เข้ามาทีหลังจะไม่มีที่จอด เพราะเค้าจอดในที่ของคนพิการไม่ได้ เห็นแล้วก็เห้อ เซ็งคนประเภทนี้จริง ๆ

พอแระค่ะ บ่นมาก จะเป็นการเปิดทางให้ผู้อ่านหนีไปซะหมดนิ อิอิ แล้วไว้บล็อกหน้าค่อยว่ากันเรื่องเสนาะจิตละกันค่า

ไอ้อ๋วน (อึดอัด)

ไอ้อ๋วน (อึดอัด)

กาก้า (ชูก้าร์)

กาก้า (ชูก้าร์)

น้องเน่ (เนเน่ หรืออีกนิคเนม คืออิแรด)

น้องเน่ (เนเน่ หรืออีกนิคเนม คืออิแรด)

น้องโง (โงกุล)

น้องโง (โงกุล)

ไอ้ส้วม (ส้มหล่น)

ไอ้ส้วม (ส้มหล่น)

หมูม่อน

หมูม่อน

Blog Archive

ขอให้รักเรานั้นนิรันดร (เสี่ยวไปมั้ย?)

ขอให้รักเรานั้นนิรันดร (เสี่ยวไปมั้ย?)

About Me

สาวไทยจำใจจากจรเมืองฟ้าอมรมาอยู่บ้านดอนโอไฮโอ